แพรรี่ สมเพช “อดีตเจ้าอาวาส” โวยพระรูปไหนไม่ลวกเส้น ทำตัวเป็นฤษีลวงตะกวด
แพรรี่ ไพรวัลย์ โพสต์สลดวงการสงฆ์ หลังอดีตเจ้าอาวาสวัดสีชมพู ปทุมธานี ทำตัวเป็นฤษีลวงตะกวด มีหน้าถามพระรูปไหนไม่ช่วยตัวเองบ้าง ชี้ทำบุญกับเด็กพิการดีกว่า
ผลพวงจาก ทนายอนันต์ชัย ไชยเดช นำมูลนิธิทนายกองทัพธรรม พร้อมคณะสงฆ์ปทุมธานี และฝ่ายปกครอง แฉอดีตเจ้าอาวาสวัดทวีการะอนันต์ หรือ “วัดสีชมพู” อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี หลังได้รับการร้องเรียนอดีตเจ้าอาวาสวัดทวีการะอนันต์มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม เหตุมีคลิปขณะช่วยตัวเองเผยแพร่ไปทางสังคมออนไลน์ รวมถึงพิรุธเกี่ยวกับเงิน 11 ล้านบาท ที่ไม่โปรงใส
ล่าสุด แพรรี่ ไพรวัลย์ อดีตรพะนักเทศน์ที่ปัจจุบันผันตัวเป็นฆราวาส แสดงความเห็นผ่านโซเชียล โดยมองอดีตเจ้าอาวาสฉาว ทำตัวเป็นฤษีลวงตะกวด สอนชาวบ้านอย่างหนึ่ง ตัวเองประพฤติตนอีกอย่างหนึ่ง
“ที่ซีรี่ส์เรื่องสาธุ นำมาสะท้อนใน Netflix เบามาก เบาแบบเบอร์ 1 ดิฉันบอกเลย ถ้าผู้กำกับมาปรึกษาดิฉันนะ รับรองว่ามีซีนใหญ่ ๆ อีกเพียบ ศึกษา 5 ปี ไม่พอหรอกค่ะ ต้องสัก 18 ปี ถึงจะเห็นแจ้ง”
“เห้ออ ! น่าสมเพชเวทนา พระเดี๋ยวนี้ทำตัวเป็นฤษีลวงตะกวดกันเต็มไปหมด ไม่ผิดกับที่พระธรรมบทท่านพูดไว้ สอนชาวบ้านอย่างหนึ่ง ตัวเองประพฤติตนอีกอย่างหนึ่ง เมื่อไม่กี่วันนี้ ดิฉันเพิ่งทำบุญกับมูลนิธิเด็กพิการมา รู้สึกสบายใจมากค่ะ ยังไงดีกว่าทำบุญกับพระแล้ว ต้องมาเห็นพระมายืนชี้หน้าทะเลาะกันเพราะเรื่องผลประโยชน์แบบนี้”
“ปล. พระสมัยก่อนต้องอาบัติเล็กน้อย ก็ละอายใจ พระสมัยนี้ถ่ายคลิปสาวหนอน มีหน้ามาบอกว่า ใครบ้างที่ไม่เคย” ข้อความจากโพสต์เฟซบุ๊กไพรวัลย์ วรรณบุตร โดยหลังจากเผยแพร่ไปก็มีคนเข้ามาแสดงความเห็นเป็นจำนวนมาก
ทั้งนี้ อ้างอิงข้อมูลจาก เว็บไซต์ธรรมะไทย โคธชาดก เรื่อง “ฤาษีกินเหี้ย” ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้า ประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี ทรงปรารภภิกษุผู้หลอกลวงรูปหนึ่ง ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธกว่า..
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีดาบสผู้มีตบะกล้าตนหนึ่ง เป็นที่เคารพศรัทธาของชาวบ้าน จึงได้สร้างศาลาไว้ให้ที่ชายป่าแห่งหนึ่งใกล้บ้าน ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์ได้เกิดเป็นเหี้ยตัวหนึ่ง อาศัยอยู่ที่จอมปลวกแห่งหนึ่ง ใกล้ที่จงกรมของดาบสนั้น มันจะไปหาดาบสวันละสามครั้งเป็นประจำทุกวัน เพื่อฟังธรรม ไหว้ดาบสแล้ว จึงกลับไปอยู่ที่อยู่ของตน
ต่อมาไม่นาน ดาบสนั้น ได้อำลาชาวบ้านไปที่อื่น ได้มีดาบสโกงตนหนึ่ง เข้ามาอาศัยในศาลานั้นแทน เหี้ยพระโพธิสัตว์ก็คิดว่า แม้ท่านผู้นี้ก็ทรงศีลเหมือนกัน จึงไปหาดาบสนั้นเช่นเดิม
อยู่มาวันหนึ่ง ฝนได้ตกมาในฤดูแล้ง ฝูงแมลงเม่าได้พากันบินออกจากจอมปลวกเป็นจำนวนมาก ฝูงเหี้ยก็ได้ออกมากินแมลงเม่าเหล่านั้น พวกชาวบ้านพากันออกมาจับเหี้ยแล้วปรุงเป็นอาหาร รสอร่อยนำมาถวายดาบส ดาบสได้ฉันเนื้อนั้นแล้วติดใจในรส เมื่อทราบว่าเป็นเนื้อเหี้ย จึงคิดได้ว่า
” มีเหี้ยใหญ่ตัวหนึ่งมาหาเราเป็นประจำ เราจะฆ่ามันกินเนื้อ ” จึงให้ชาวบ้านเอาเครื่องปรุงมาไว้ให้ ได้นั่งถือค้อนห่มคลุมผ้าอยู่ที่ประตูศาลา
เย็นวันนั้น เหี้ยโพธิสัตว์ ได้ไปหาดาบสตามปกติ ได้เห็นท่านั่งที่แปลกของดาบส คิดว่า “วันนี้ดาบส นั่งท่าที่ไม่เหมือนวันก่อน นั่งชำเลืองเราเป็นประจำ” จึงไปยืนดูอยู่ใต้ทิศทางลม ได้กลิ่นเนื้อเหี้ย จึงทราบว่า “ดาบสโกงนี้ คงฉันเนื้อเหี้ย ติดใจในรสแล้ว คราวนี้ หวังจะตีเรา เอาเนื้อไปแกงเป็นอาหารแน่ๆ” จึงไม่ยอมเข้าไปใกล้ ถอยกลับแล้ววิ่งหนีไป
ฝ่ายดาบสโกงทราบว่าเหี้ยรู้ตัวไม่ยอมมาแล้ว จึงลุกขึ้นขว้างค้อนตามหลังไป ค้อนได้ถูกเพียงหางเหี้ยเท่านั้น เหี้ยได้หลบเข้าไปในจอมปลวกอย่างรวดเร็ว โผล่เพียงศีรษะออกมาเท่านั้น กล่าวติเตียนดาบสด้วยคาถานี้ว่า ” นี่เจ้าผู้โง่เขลา จะมีประโยชน์อะไรแก่เจ้า ด้วยชฎาและการนุ่งห่มหนังเสือเหลือง ภายในของเจ้าแสนจะรกรุงรัง เจ้าดีแต่ขัดสีภายนอกเท่านั้น ”
“นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า อำนาจของความอยาก ทำให้คนลืมตัว”.
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง