ลูกสาวเภสัชกร พ่อป่วยเส้นเลือดในสมองแตก ตัดพ้อตัดสินใจผิดเอาพ่อเข้าโรงพยาบาลรัฐ จนอาการแย่อัมพาตครึ่งซีก คู่กรณีเล่าอีกมุม พ่อนักจ่ายยาเคยเอาปืนขู่หมอถึงคลีนิก เรื่องส่อโอละพ่อ
กำลังเป็นดราม่าที่ถูกพูดถึงอย่างมาก หลังจากวันนี้ ผู้ใช้บัญชีเอ็กซ์ (X.) @AerthH ออกมาลงเนื้อหาซึ่งเป็นเรื่องราวของเภสัชกรหญิงรายหนึ่ง เล่าประสบการณ์ พ่อของตัวเองเป็นโรคเส้นเลือดในสมองเฉียบพลัน ต้องรีบรักษาแต่ปรากฏไปถึงโรงพยาบาล ปรากฏ หมอไม่เข้าเวรพอดี สุดท้ายพ่อของเภสัชกรเจ้าของเรื่องต้องเป็นอัมพาตครึ่งซีก
ร้อยเอ็ดคนบ้าเยอะมาก กุจะเครซี่ เบื้องหลังคือคนไข้ขู่เอาปืนมายิงหมอ ความปลอดภัยในที่ทำงาน เป็นหมอในประเทศไทยยากมาก pic.twitter.com/S92JBB7srh
— Aertha (@AerthH) January 21, 2024
เนื้อหาที่ลงไว้ทั้งหมด ระบุ คุณพ่อเป็นstroke ไปรพ. ทันใน 270 นาทีตามข้อแนะนำ เราอยู่กทม. พ่อคุยโทรศัพท์อยู่กับเราด้วยกัน เราเป็นลูกสาวเป็นเภสัชกร พ่อ บอกลิ้นแข็งพูดไม่ชัดเป็นได้ประมาณ 15-30 นาที เรารีบบอกให้ไป รพ. เราตอนนั้นพยายามหาตั๋วเครื่องบินทันที แต่หาไม่ได้ ตัดสินใจ ให้คนขับรถขับรถจากกทม.ไปร้อยเอ็ดถึงเวลา02.00น.
ตอน 21.00 น. เราออก ทราบจากคุณแม่ระหว่างเดินทางว่าเอาคุณพ่อเข้าตึก stroke units เรากลัวจะไม่ได้รับยา rt-PA กลัวว่าจะช้าไป กลัวว่าการที่ไม่ได้บอก ว่าพวกเราคือใคร เราพร้อมจะจ่ายค่ายาrt-PA จะทําให้พ่อพลาดโอกาส
สุดท้ายวันนั้น เรามีเงินมากกว่า 8 หลักในบัญชีเราพร้อมจะจ่ายมาก แต่เราคิดผิดมากๆ ที่ให้พ่อขับรถไปรพ.ร้อยเอ็ด เราคิดว่า รพ.รัฐถึง จะมียา rt-PA แต่เราคิดผิดมันไม่ได้สําคัญที่ยา มันสําคัญที่หมอว่าจะ มาตรวจหรือไม่ ถ้าเรารู้ว่า ER ไม่มี staff และเอาคุณพ่อใส่ stroke units ไปเจอพยาบาลที่ให้คุณพ่อนอนแช่อีแข่ฉี่ข้ามวันข้ามคืน และไม่ให้ลูกชายซึ่งมาจากอุบลตอนเที่ยงคืนเข้าซักถามอาการ พยาบาลดุยิ่งกว่าล๊อตไวเลอร์ จนเราไม่วามารถย้ายรพ.ได้ทัน
ทราบภายหลังว่าประเมินscroe NIHHSS = 2 ที่ER แล้วส่งขึ้นไป เลย โดย Neuro med ไม่ได้มา ประเมินอาการคนไข้ผิดพลาดคิดว่า เป็น TIA แต่พอ CT brain ผลออกตอน3ทุ่ม ก็เกิน270นาที ที่จะให้ยาได้หลังจากวันนั้นนคุณพ่อ กลายเป็น Right Hemeplegia
จวบจนวันนั้น 2 ปีที่ผ่านมา คือเราโทษตัวเองมาตลอดว่า ทําไมไม่ส่ง พ่อด้วยเครื่องบินเข้ามาในกรุงเทพ แพทย์ Neuromed ท่านนั้นมีปัญหาชีวิตสมรสและมีเพียงคนเดียวในรพ. ไม่สามารถปฏิบัติงานได้ ท่านทราบหรือไม่ว่าการที่ท่านไม่มาดูคนไข้ 1 คน พยาบาล stroke unit ที่ไม่สนใจคนไข้ มันทําให้ชีวิตครอบครัวนึงมีแต่ความเศร้า
หลังเป็นกระแส มีผู้ใช้บัญชีเอ็กซ์อีกราย โผล่ทวิตเรื่องราวอีกมุม
หลังจากทวิตเปิดเผยเรื่องราวของหญิงสาวเภสัชกรที่พ่อป่วยเป็นโรคสมองหลอดเลือดเฉียบพลันกลายเป็นประเด็นถกเถียง ต่อมาก็มีผู้ใช้งานบัญชีเอ็กซ์ (X.) @LittleBirbMame ออกมาลงทวิตเนื้อหาอีกมุม ซึ่งระบุ พ่อของเภสัชกรสาวเคยเอาอาวุธปืนมาข่มขู่หมอ เรื่องนี้ลูกสาวที่มีอาชีพจ่ายยาเองก็ทราบเรื่องดีด้วย
ข้อความที่เขียนบรรยายไว้ โดยเจ้าของบัญชี ระบุ “สรุปว่าวันนั้นหมอไม่ได้อยู่เวร คนไข้อาการแย่ลงเพราะเป็นลักษณะ Progressive Stroke วันแรกขับรถมา รพ เองได้ ไม่ได้มี Indication ในการให้ rt-PA”
“ภายหลังไปข่มขู่เขาที่คลีนิค ขู่จะเอาปืนมากราดยิงที่ รพ. ผอ. เลยให้ไปขอโทษที่บ้าน(ทั้งๆ ที่ไม่ใช่เวรเขา) ก็ยังไม่พอใจจะเรียกเงินอีก 2 ล้าน” โดยขณะเดียวกันก็ยังลงเปิดเผยรายละเอียดข้อความบันทึกหน้าจอของแชตสนทนา ที่จะเห็นข้อความระบุว่า ภายหลังมีข่มขู่ และเรียกเงินเยียวยา ซึ่งไม่สมควรมาก ๆ เพราะรพ.ตอนนั้นมีนิวโรเมดท่านเดียว และไม่ได้เข้าเวรในวันดังกล่าวพอดี
ตัวอย่างข้อความที่ถูกนำมาเผยแพร่
“คนเป็นพ่อ ที่ป่วย ครับ”
“เดินไปหา หมอที่คลีนิก”
“เอาปืนไปขู่เขา”
“มา รพ. ก็มาขู่ ถึงห้องตรวจ”
“คนไข้เอง นั่นละ”
“ลูกสาวเหมือนรับรู้ตลอด แต่ไม่ทำอะไร”
อันนี้เป็นคุณหมอที่โดนกล่าวหา แกพิมมาบอก คนไข้มาข่มขู่ เริ่มจากจะจ้างมือปืนมายิงหมอ จะขับรถชนหมอ แล้วก็จะมากราดยิงรพ. รวมถึงผอ. ด้วย
ตอนนั้น ผอ.เลยไปคุย เค้าต้องการให้ หมอไปขอโทษที่บ้าน เลย ตัดสินใจไปให้จบ ๆ ทั้งที่คิดว่าจริง ๆ เราไม่ได้อยู่เวรวันดังกล่าว แต่ถ้าจะลดความรุนแรงลงได้ ขอโทษให้ได้ถ้าสุดท้ายผลลัพธ์เค้าไม่พอใจ แต่สุดท้าย ไม่จบ
ล่าสุดมาตรวจ opd แล้วต้องการเรียกเงินเยียวยาจากหมอ 2 ล้านบาท ต้องเป็นจากหมอเท่านั้น เวลามาตรวจต้องรีเควส เป็นหมอxxxเท่านั้น
ส่วนตัวมองว่า คือ ความเสี่ยงที่รพ. ต้อง take action มากกว่านี้ ทุกครั้งที่มาก็จะมาแนวข่มขู่ ล่าสุด คือ ถ้าหมอไม่ให้ จะให้ลูกน้องไปคุยกับพ่อหมอที่กทม. (กรณีนี้คือเคยข่มขู่ว่าจะให้คนไปยิงพ่อ) การที่รพ. เงียบเฉย แล้วยอมถูกกระทํา ทั้งที่การรักษาเป็นไปตามมาตรฐาน ตั้ง แต่คนไข้ขับรถมาเองได้ แล้วมา “แย่” เพราะเป็น progressive stroke ในอีกวัน ซึ่งไม่มี indication rtpa
ส่วนตัวมองรู้สึกน้อยใจอยู่นะคะ ที่ให้หมอที่ปฏิบัติงานต้องเป็นด่านหน้าเผชิญเหตุการณ์นี้.
