ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ โพสต์ร่ายยาว 45 ปี 6 ตุลา เราไม่เคยลืม รำลึกเพื่อบอกว่าไม่ยอมแพ้
ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ โพสต์รำลึกวาระครบรอบ 45 ปี เหตุการณ์ 6 ตุลา ระบุ เราไม่เคยลืม แต่เรารำลึกเพื่อบอกกับผู้มีอำนาจว่าเราไม่ยอมแพ้
วันนี้ (6 ต.ค.64) ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กของตัวเอง รำลึกถึงกาารครบรอบ 45 ปี เหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 โดยระบุข้อความทั้งหมด ดังนี้
45 ปี 6 ตุลา คารวะจิตวิญญาณ นักศึกษา/ประชาชน
หลังเหตุการณ์ 14 ตุลา 2516 ความเคลื่อนไหวของขบวนการนักศึกษาขึ้นสู่กระแสสูง แทบทุกประเด็นสาธารณะในสังคมไทยล้วนมีบทบาทของนักศึกษาร่วมเรียกร้องต่อสู้และแก้ปัญหา
ขณะที่สถานการณ์ในเวทีโลก ความเข้มข้นของสงครามเย็นเกิดขึ้นในทุกภูมิภาค เฉพาะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การโค่นล้มลงของระบอบเก่าในกัมพูชา เวียดนาม และลาว พร้อมกับชัยชนะของพรรคคอมมิวนิสต์กำลังสร้างความวิตกกังวลอย่างยิ่งต่ออำนาจอนุรักษ์นิยมในสังคมไทย
มีการพูดถึงทฤษฎีโดมิโน และไทยถูกตั้งคำถามว่าจะเป็นประเทศที่สี่ ที่มีการโค่นล้มเปลี่ยนแปลงโดยพรรคคอมมิวนิสต์หรือไม่?
พลังนักศึกษาซึ่งเป็นพลังบริสุทธิ์จึงถูกเชื่อมโยงย้อมสีกับความเคลื่อนไหวของพรรคคอมมิวนิสต์ ถูกกล่าวหาเป็นขบวนการล้มล้างสถาบัน เปลี่ยนแปลงการปกครอง เป็นขบวนการต่างด้าวที่เข้ามาเคลื่อนไหวเพื่อที่จะทำร้ายทำลายประเทศไทย มีการใช้กลไกรัฐหลายหน่วยงานเป็นเครื่องมือ มีการจัดตั้งขบวนการประชาชนฝ่ายขวาขึ้นมาเป็นปฏิปักษ์กับขบวนการนักศึกษาโดยตรง และเมื่อถึงเหตุการณ์จอมพลประภาสกลับเข้ามาในประเทศไทย ต่อด้วยจอมพลถนอมบวชเณรกลับมา การต่อต้านของขบวนการนักศึกษาก็ขยายตัวบานปลายจนเกิดการนัดหมายชุมนุมใหญ่ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์วันที่ 4 ตุลาคม 2519
และจากการปลุกระดมสร้างความเกลียดชัง ทำให้ขบวนการนักศึกษาในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เป็นขบวนการต่างชาติ เป็นขบวนการวายร้าย ในที่สุดจึงเกิดการปราบปรามครั้งใหญ่ตั้งแต่กลางดึกของคืนวันที่ 5 ตุลาคม ต่อเนื่องกันจนถึง 6 ตุลาคม เกิดการบาดเจ็บล้มตายมากมาย เกิดภาพชีวิตอันโหดร้ายที่ยังคงเป็นรอยแผลเป็นใหญ่ของสังคมไทยจนถึงวันนี้
ในวาระครบรอบ 45 ปี 6 ตุลา 2519 จึงถือเป็นเหตุการณ์สำคัญในบรรทัดประวัติศาสตร์ประเทศไทย โดยเฉพาะประวัติศาสตร์ที่เขียนโดยพลังบริสุทธิ์ของประชาชน การจัดงานรำลึก 6ตุลา19 จึงเป็นวาระสำคัญร่วมกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหมุดหมายสำคัญในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อันเป็นที่เกิดเหตุ จำเป็นต้องมีพื้นที่ให้กับประวัติศาสตร์หน้านี้
ผมรู้สึกประหลาดใจและเจ็บปวดเมื่อทราบข่าวการโต้แย้งกันระหว่างคณะศิษย์เก่าและศิษย์ปัจจุบันผู้ต้องการจัดงานรำลึก 6ตุลา กับคณะผู้บริหารมหาวิทยาลัยและประชาคมธรรมศาสตร์บางส่วนที่แสดงอาการไม่เต็มใจและคัดค้าน ทั้งที่เรื่องนี้ควรเป็นสำนึกร่วมกันของชาวธรรมศาสตร์ในทุกขวบปี 6ตุลา19 ไม่ควรเป็นเรื่องที่ต้องเถียงกันว่าจะจัดที่ไหน แต่ควรเป็นหนึ่งในวิชาเรียนของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้ศิษย์ทุกรุ่นได้ซึมซับเข้าใจและเติบโตพ้นรั้วมหาวิทยาลัย โดยช่วยกันป้องกันไม่ให้สังคมไทยย้อนกลับมาในประวัติศาสตร์อันเจ็บปวดแบบเดิม
แต่นอกจากจะไม่เป็นวิชาเรียนแล้ว ดูเหมือนกับว่าคณะผู้บริหารมหาวิทยาลัยพยายามที่จะเบียดบังบรรทัดประวัติศาสตร์นี้ให้มีพื้นที่อย่างจำกัดที่สุด ทั้งที่นี่เป็นเหตุการณ์แรกและเหตุการณ์เดียวในประวัติศาสตร์การเมืองไทย ที่มีการใช้กำลังทั้งเจ้าหน้าที่รัฐและมวลชนจัดตั้งของรัฐ อาวุธสงครามนานาชนิดบุกเข้าในรั้วมหาวิทยาลัย เข่นฆ่าทำลายชีวิต ทำลายความรู้สึก ทำลายจิตวิญญาณของนักศึกษาและประชาชนอย่างโหดเหี้ยมอำมหิตที่สุด
ธรรมศาสตร์จะสอนให้นักศึกษารักประชาชนได้อย่างไร หากปัจจุบันนักศึกษายังต้องสอนผู้บริหารมหาวิทยาลัยบางคนให้รักประวัติศาสตร์ 6 ตุลาคม 2519
ส่วนข้อสังเกตว่าหลังจากเหตุการณ์เดือนตุลาผ่านไประยะเวลาหนึ่ง กลุ่มนักศึกษาที่เคยร่วมกันต่อสู้ยืนยันอุดมการณ์ประชาธิปไตยจำนวนไม่น้อยข้ามฟากย้ายข้างไปสนับสนุนและรับใช้ระบอบเผด็จการในสังคมไทยมีตัวตนอยู่ในความขัดแย้งทางการเมือง 15 ปีหลังอย่างมีนัยสำคัญ
คำถามก็คือ นักศึกษาที่กำลังต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตยอยู่ในขณะนี้ อีก 15 หรือ 20 ปี จะกลายเป็นเครื่องมือหรือส่วนหนึ่งของระบอบเผด็จการอย่างที่รุ่นพี่เดือนตุลาบางกลุ่มทำมาหรือไม่?
ส่วนตัวผมมองเห็นภาพที่แตกต่างกัน ต้องยอมรับว่าขบวนการนักศึกษาที่ผ่านเหตุการณ์เดือนตุลาคม 2519 พวกเขาเติบโตขึ้นในท่ามกลางอิทธิพลของเครือข่ายอนุรักษ์นิยมและระบบอุปถัมภ์ในสังคมไทยที่มีอิทธิพลใหญ่โตหนาแน่น คนหนุ่มสาวที่ต้องการโอกาสและความก้าวหน้าในชีวิตจำนวนไม่น้อย จำต้องสยบยอมต่อเครือข่ายอนุรักษ์นิยมและระบบอุปถัมภ์ เพื่อให้มีสถานะในสังคมและมีอนาคตก้าวเดินต่อไป
ผลิตผลจากขบวนการนักศึกษาเดือนตุลาจำนวนหนึ่งจึงเข้าไปมีบทบาทในแวดวงการเมือง เศรษฐกิจ สังคม การศึกษา ในฐานะผู้สนับสนุนฝ่ายอนุรักษ์นิยมเพื่อโอกาสและความเติบโตในชีวิต
เราจึงเห็นคนเดือนตุลาบนเวทีพันธมิตรฯ
เราจึงเห็นคนเดือนตุลาบนเวทีกปปส.
เราจึงเห็นคนเดือนตุลาในแม่น้ำ 5 สาย และในกลไกรับใช้เผด็จการจำนวนมากมาย
แต่ในขณะเดียวกันเราก็ยังคงเห็นคนเดือนตุลาในขบวนการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยร่วมกับลูกหลายอยู่จนเวลานี้
แต่กับหนุ่มสาวยุคปัจจุบันจะไม่เป็นเช่นนั้น พวกเขาเติบโตขึ้นท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของสังคมและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ช่องทางในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารมีอย่างไม่จำกัด สังคมนี้จะไม่อนุญาตให้ใครจะเป็นผู้ใหญ่ขนาดไหนก็ตาม “ปลอม” อยู่ได้นาน และหนุ่มสาวยุคปัจจุบันจะไม่รู้สึกว่าจำเป็นต้องพินอบพิเทาวิ่งเต้นเส้นสายกับความปลอมใด ๆ พวกเขามีช่องทางมากมายที่จะสร้างความเติบโตเข้มแข็งกับชีวิต แล้วยิ่งเวลาเดินไปข้างหน้า ผมเชื่อว่าความคิดแบบนี้จะมีแต่เข้มแข็งมากขึ้น
หนุ่มสาวที่ผ่านการต่อสู้ในปัจจุบันอาจจมีบางส่วนที่สยบยอมต่อเครือข่ายของอำนาจเดิม แต่ส่วนใหญ่จะไม่เป็นเช่นนั้น พลังบริสุทธิ์นี้จะเติบโตและยังคงเข้มแข็งในหลักการที่ถูกต้องต่อไป กลไกอนุรักษ์นิยมต่างหากที่จะถูกตัดพื้นที่ให้หดแคบลง
การรำลึก 45 ปี 6ตุลา จึงมากด้วยความหมาย ไม่ใช่แค่เรื่องของการเอาคนเก่า ๆ มานั่งจัดงานพบกัน แต่หมายถึงการเชื่อมต่อในทางอุดมการณ์ การยืนยันการต่อสู้ และการส่งมอบภารกิจจากรุ่นสู่รุ่นด้วยความหวังให้คนหนุ่มสาวเดินหน้าต่อไป
ในฐานะประชาชนคนหนึ่งที่ยืนอยู่ท่ามกลางการล้อมปราบโดยรัฐ ผมขอคารวะทุกดวงวิญญาณของ “คนเดือนตุลา” ผู้สูญเสีย และเป็นกำลังใจให้กับครอบครัวและญาติมิตรในการยืนหยัดสู้ต่อไป รวมกระทั่งขอแสดงความชื่นชมด้วยหัวใจกับขบวนการนิสิตนักศึกษาคนหนุ่มสาวที่ลุกขึ้นมาสืบสานภารกิจของ “คนเดือนตุลา” และเป็นที่พึ่งที่หวังของสังคมไทยต่อไปในอนาคต
ประชาชนผู้สูญเสียไม่ได้รำลึกเพื่อเตือนใจตัวเอง เพราะเราไม่เคยลืม แต่เรารำลึกเพื่อบอกกับผู้มีอำนาจว่าเราไม่ยอมแพ้ และไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเราจะสู้ต่อไป
การรำลึกอดีตต่อสาธารณะทำได้เฉพาะฝ่ายที่ชอบธรรมเท่านั้นนะครับ เราไม่เคยเห็นการรำลึกของรัฐผู้ปราบปรามประชาชน ไม่ว่าจะจากเหตุการณ์ใดก็ตามในสังคมไทยและในสังคมโลก
อ้าางอิงข้อมูล : เฟซบุ๊ก นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ