ข่าวเศรษฐกิจ

อดีตอธิบดีสรรพากร โดนศาลตัดสินจำคุกตลอดชีวิต ฐานทุจริตอนุมัติคืนภาษี 25 บ.

อดีตอธิบดีสรรพากร และพรรคพวก ได้รับการตัดสินโทษในฐานทุจริตอนุมัติคืนภาษี 25 บริษัทโดยมิชอบ มีทั้งจำคุก และปรับเป็นจำนวนเงินกว่า 3 พันล้านบาท

ในวันนี้ (19 ส.ค. 2564) – ศาลอาญาคดีทุจริตเเละประพฤติมิชอบกลาง ได้ทำการอ่านคำตัดสินให้ นายสาธิต รังคสิริ อดีตอธิบดีสรรพากร และพรรคพวก ได้รับโทษฐานทุจริตอนุมัติคืนภาษี 25 บริษัทโดยมิชอบ จำเลยที่ 1-2 ได้รับโทษจำคุกตลอดชีวิต จำเลยที่ 3 จำคุก 6 ปีกว่า และทั้ง 3 รายต้องถูกปรับชดใช้เงินเป็นจำนวน 3 พันกว่าล้านบาท

ศาลอาญาคดีทุจริตเเละประพฤติมิชอบกลาง อ่านคำพิพากษาในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อท 126/2562 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีปราบปรามการทุจริต 1 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายสาธิต รังคสิริ อดีตอธิบดีกรมสรรพากร, นายสิริพงศ์ ริยะการธีรโชติ อดีตสรรพากรพื้นที่กรุงเทพมหานคร 22, นายประสิทธิ์ อัญญโชติ, นายกิติศักดิ์ อัญญโชติ

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อระหว่างวันที่ 20 พ.ค.55 ถึงวันที่ 26 ต.ค.56 พวกจำเลยร่วมและสนับสนุนการกระทำความผิด คือร่วมกันขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มโดยแสดงข้อความเท็จหลอกลวงกรมสรรพากร เจ้าหน้าที่กรมสรรพากร และเจ้าหน้าที่สรรพากรพื้นที่กรุงเทพมหานคร 22 เพื่อให้ได้ไปซึ่งเงินคืนภาษีมูลค่าเพิ่มจากกรมสรรพากรและรัฐโดยทุจริต

จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมาย ทราบดีถึงความเท็จดังกล่าวมาแต่ต้น แต่กลับรู้เห็นเป็นใจด้วยการร่วมกันใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบและทุจริตโดยจำเลยที่ 2 ได้ใช้อำนาจของตนสั่งการให้คำแนะนำเจ้าหน้าที่กรมสรรพากรผู้รับผิดชอบในการตรวจสอบข้อเท็จจริงของสถานประกอบการเกี่ยวกับการคืนภาษีมูลค่าเพิ่มกรณีดังกล่าวซึ่งเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา ให้พิจารณาเสนอความเห็นยุติการตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสภาพกิจการของบริษัท จำนวน 25 บริษัท ที่ขอคืนภาษีและคืนภาษีให้แก่บริษัท นิติบุคคลทั้ง 25 แห่งดังกล่าว ทั้งที่ยังมีข้อสงสัยว่าเป็นผู้ประกอบการจริงหรือไม่

โดยจำเลยที่ 2 ละเว้นไม่สั่งการให้มีการตรวจสอบสถานประกอบการ ไม่สั่งการให้ตรวจสอบการซื้อขายสินค้าวัตถุดิบการเก็บรักษาสินค้า การจ้างแรงงาน เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงครบถ้วน ทั้งยังเร่งรัดให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเสนอสำนวนการตรวจสภาพกิจการอันการเป็นผิดระเบียบกรมสรรพากรว่าด้วยการตรวจปฏิบัติการ พ.ศ.2554 ประกอบแนวทางปฏิบัติของกรมสรรพากรในหลายกรณี รวมถึงสั่งระงับทำให้ไม่มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงให้แน่ชัดว่าใบกำกับภาษีและใบส่งสินค้าออกต่างประเทศที่นำมาใช้อ้างแสดงเป็นหลักฐานนั้นเป็นเอกสารแท้จริงหรือไม่อีกด้วย

จำเลยที่ 2 ยังสั่งการปรับปรุงการกำกับดูแลประเภทกิจการเกี่ยวกับการขายส่งโลหะและแร่โลหะจากเดิม มีเจ้าหน้าที่ตรวจสอบหลายทีม ให้มีเพียงทีมเดียวทำหน้าที่ตรวจสอบบริษัท และสั่งการให้ทีมตรวจสอบบริษัทออกตรวจกิจการบริษัทบางบริษัทในกลุ่ม 25 บริษัทก่อนล่วงหน้าที่จะมีการยื่นขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม และใช้ผลการตรวจล่วงหน้าในการพิจารณาคืนเงินภาษีมูลค่าเพิ่มอันเป็นการดำเนินการไม่ปกติไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์แนวทางปฏิบัติที่กรมสรรพากรกำหนด

ส่วนจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดของกรมสรรพากร ทราบดีว่าการดำเนินการคืนเงินภาษีมูลค่าเพิ่มยังไม่ได้ข้อเท็จจริงครบถ้วนตามแนวทางปฏิบัติและระเบียบกรมสรรพากรและเมื่อมีการตรวจพบความผิดปกติที่เกี่ยวข้องในการขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มนี้รายงานมายังจำเลยที่ 1 กลับสั่งการให้สำนักงานตรวจสอบภาษีกลางไปตรวจสอบใบขนสินค้าขาออกกับกรมศุลกากรว่ามีการส่งออกจริงหรือไม่เท่านั้น ซึ่งเป็นการสั่งการที่จงใจให้ไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ ทั้งที่ข้อสำคัญจะต้องสั่งการตรวจสอบให้ชัดเจนว่า ผู้ขอคืนภาษีประกอบกิจการจริงหรือไม่ขัดต่อแนวทางปฏิบัติกรมสรรพากรในการกำกับดูแลผู้เสียภาษีโดยใกล้ชิดเป็นรายผู้ประกอบการและให้เป็นปัจจุบัน

แต่จำเลยที่ 1 กลับละเว้นไม่สั่งการตรวจสอบ นอกจากนี้ผลตรวจสอบใบขนส่งสินค้าขาออกตามที่จำเลยที่ 1 สั่งการก็ไม่ได้ข้อเท็จจริงยืนยันว่ามีการขนส่งสินค้าออกจริงหรือไม่ กรณีดังกล่าวจึงไม่สามารถอนุมัติคืนภาษีได้หากไม่มีธนาคารมาค้ำประกัน แต่จำเลยที่ 1 กลับเพิกเฉยไม่ระงับยับยั้ง ทั้งยังอาศัยอำนาจของตนในการบังคับบัญชาข้าราชการของกรมสรรพากรเข้ามาติดตามเร่งรัดพร้อมทั้งมอบแนวทางการปฏิบัติงานแก่เจ้าหน้าที่สรรพากรพื้นที่กรุงเทพมหานคร 22 เพื่อให้มีการคืนภาษีมูลค่าเพิ่มแก่บริษัทนิติบุคคลทั้ง 25 แห่งโดยเร็ว

พฤติการณ์ของจำเลยกับพวก จึงเป็นการแบ่งหน้าที่กันทำ เพื่อให้ข้อเท็จจริงที่บริษัทนิติบุคคลทั้ง 25 แห่งนั้นไม่มีสิทธิขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มอันเป็นการฉ้อฉลนั้นถูกปกปิด จนที่สุดจำเลยที่ 2 ด้วยความรู้เห็นเป็นใจของจำเลยที่ 1 ได้พิจารณาอนุมัติคืนเงินภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่บริษัทนิติบุคคลทั้ง 25 แห่งจำนวนหลายครั้ง ในการนี้นายประสิทธิ์ อัญญโชติและนายกิติศักดิ์ อัญญโชติ กับพวกได้มารับเอาเงินจำนวนตามที่ได้มีการคืนภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่บริษัทนิติบุคคลทั้ง 25 แห่งดังกล่าว ไปแบ่งปันกันโดยทุจริตกับจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 โดยจำเลยที่ 1ได้นำเงินบางส่วนที่ได้รับแบ่งปันโดยทุจริตไปซื้อทรัพย์สินเป็นทองคำแท่งไว้เป็นประโยชน์ส่วนตัว

การกระทำของพวกจำเลยดังกล่าวเป็นการใช้อำนาจของตนไปโดยมิชอบและทุจริตเบียดบังเงินของรัฐที่อยู่ในอำนาจจัดการดูแลเก็บรักษาของตน ไปเป็นของตนเองและบุคคลอื่นโดยทุจริต เป็นเหตุให้กรมสรรพากร กระทรวงการคลังและรัฐได้รับความเสียหายเป็นเงิน 3,097,016,533.99 บาท ขอให้ลงโทษตามกฎหมาย และขอให้ริบของกลางทองคำแท่ง น้ำหนัก 77 กิโลกรัม และทองคำแท่งน้ำหนักรวม 7,000 บาททองคำ กับให้จำเลยร่วมกันชดใช้เงินที่เบียดบังเอาไปและยังไม่ได้คืน จำนวน 3,097,016,533.99 บาทแก่กรมสรรพากร กระทรวงการคลัง

พิพากษาว่าจำเลยที่ 1,2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 147(เดิม), 151(เดิม) และ 157(เดิม) ประกอบประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83 พรป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542มาตรา 123/1 การกระทำของจำเลยที่ 1 เเละ 2 เป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อทำจัดการหรือรักษาทรัพย์ใดเบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริตหรือโดยทุจริตยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์นั้นไปเสียและฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ ซื้อทำจัดการหรือรักษาทรัพย์ใดๆ ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริตอันเป็นการเสียหายแก่รัฐหรือเจ้าของทรัพย์ นั้นเป็นบทหนักซึ่งมีโทษเท่ากันให้ลงโทษฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อทำจัดการหรือรักษาทรัพย์ใดเบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริตหรือโดยทุจริตยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์นั้นไปเสีย แต่เพียงบทเดียว

ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90 ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ที่ 2 ตลอดชีวิต จำเลยที่ 3 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157(เดิม) 265(เดิม), 268(เดิม), 341(เดิม) ประมวลรัษฎากรมาตรา 90/4(3) (6(เดิม)) (7) ประกอบประมวลกฎหมายอาญามาตรา 86 กระทำของจำเลยที่ 3 เป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทลงโทษฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานให้ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90 ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 3 เป็นเวลา 6 ปี 8 เดือน

ให้จำเลยที่ 1,2 เเละ 3 ร่วมกันชดใช้เงิน 3,097,016,533 บาทแก่ กรมสรรพากร กระทรวงการคลัง นับโทษของจำเลยที่ 3 ต่อจากโทษของจำเลยที่ 1 ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ ฟย. 23/2560 หมายเลขแดงที่ ฟย. 47/2561 ของศาลอาญา ริบของกลางทองคำแท่งน้ำหนัก 77 กิโลกรัมและทองคำแท่งน้ำหนักรวม 7,000บาททองคำ ตามคำขอท้ายฟ้องและทองคำแท่งทุกรายการที่ส่งมอบแก่คณะกรรมการจัดการทรัพย์สินเมื่อ 15 พ.ย.62 ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 4 คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก

จำเลยที่ 1,2 ได้ยื่นคำร้องประกันตัวในชั้นอุทธรณ์ โดยศาลชั้นต้นมีคำสั่งส่งศาลอุทธรณ์พิจารณาสั่งต่อไป ส่วนจำเลยที่ 3 ไม่ได้ยื่นประกัน โดยหากครบเวลาราชการเเล้วศาลอุทธรณ์ยังไม่มีคำสั่งประกันลงมา เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ก็จะคุมตัวจำเลยไปคุมขังยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพต่อไป

 

แหล่งที่มาของข่าว : ข่าวสดออนไลน์

สามารถติดตามข่าวเศรษฐกิจเพิ่มเติมได้ที่นี่ : ข่าวเศรษฐกิจ

 

 

N. Siripariyasak

นักเขียนคอนเทนต์ จับประเด็นด้านเศรษฐกิจ-การเงิน, เทคโนโลยี, ไอที และเกมส์ อัปเดตข่าวทั้งจากในประเทศไทย และต่างประเทศ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ใส่ความเห็น

Back to top button