พรีเมียร์ลีก

สรุปผล พร้อมไฮไลท์ เอฟเอคัพ รอบ 5 เมื่อคืนที่ผ่านมา (5 มี.ค.) – ไก่แพ้โทษ, เรือ-จิ้งจอกรอด

สรุปผล พร้อมไฮไลท์ เอฟเอคัพ รอบ 5 เมื่อคืนที่ผ่านมา (5 มี.ค.) – ไก่แพ้โทษ, เรือ-จิ้งจอกรอด : เอฟเอคัพ อังกฤษ 2020 รอบ 5 ไฮไลท์เอฟเอคัพเมื่อคืนนี้ ไฮไลท์ สเปอร์ส แมนซิตี้ เลสเตอร์

สรุปผลพร้อมไฮไลท์ เอฟเอคัพ รอบ 5 – เมื่อคืนที่ผ่านมา (5 มีนาคม) การแข่งขันฟุตบอลถ้วย เอมิเรตส์ เอฟเอคัพ อังกฤษ ดูกาล 2019-2020 รอบ 5 ลงทำการแข่งขันกันอีก 3 คู่ โดยมีสามทีมใหญ่จาก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ อย่าง “ไก่เดือยทอง” ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์, “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และ “จิ้งจอกสยาม” เลสเตอร์ ซิตี้ เตะกันพร้อมหน้าพร้อมตา

Advertisements

คลิกที่ผลการแข่งขันเพื่อชมไฮไลท์

3 มีนาคม 2563
พอร์ทสมัธ 0-2 อาร์เซนอล
4 มีนาคม 2563
เชลซี 2-0 ลิเวอร์พูล
เรดดิ้ง 1-2 เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด
เวสต์บรอม 2-3 นิวคาสเซิล
5 มีนาคม 2563
เลสเตอร์ ซิตี้ 1-0 เบอร์มิ่งแฮม ซิตี้
เชฟฟิลด์ เว้นส์เดย์ 0-1 แมนเชสเตอร์ ซิตี้
ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ 1-1 (2-3) นอริช ซิตี้

MATCH REPORT

เชฟฟิลด์ เว้นส์เดย์ 0-1 แมนเชสเตอร์ ซิตี้ (5 มีนาคม)

No photo description available.

11 ตัวจริงของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้

  • (GK) บราโว่, คันเซโล่, สโตนส์, โอตาเมนดี้, เมนดี้, โรดรี้, ซิลบา, แบร์นาร์โด้, มาห์เรซ, เฆซุส และ กุน อเกวโร่

เป๊ป กวาร์ดิโอล่า กุนซือหัวไข่ของ “เรือใบสีฟ้า” ปรับผู้เล่นตามสไตล์บอลถ้วย แต่ยังคงใช้บริการของ บราโว่ ในฐานะผู้รักษาประตู พร้อมกับส่ง แบร์นาร์โด้ ซิลวา และ ริยาด มาห์เรซ ลงสนาม แถมยังจัดเต็มในแดนหน้าด้วยการใส่ทั้ง เซร์คิโอ อเกวโร่ และ กาเบรียล เฆซุส สองศูนย์หน้าอเมริกาใต้ล่าตาข่าย

นาทีที่ 27 กุน โยนเข้าไปให้ให้ เฆซุส หลุดกับดักล้ำหน้า แต่ดันจั่วลมหน้าตาเฉย แมนฯ ซิ พลาดขึ้นนำ

นาทีที่ 32 จากจังหวะฟรีคิก ริยาด มาห์เรซ โยนมาเข้าศีรษะของ โอตาเมนดี้ โขกเหน่งๆ ชนคาน!

Advertisements

จบ 45 นาทีแรก “เรือใบ” โอกาสเยอะแต่ทำไม่ได้สักที ต้องไปลุ้นกันใหม่ในช่วงครึ่งเวลาหลัง

นาทีที่ 51 เมนดี้ ได้ลองหวดบริเวณกรอบเขตโทษทางซ้าย บอลพุ่งแรงติดปลายมือนายทวาร เชฟฟิลด์ เว้นส์เดย์ ก่อนเปลี่ยนทางไปชนคานดังสนั่น เรือใบ บุกมาทั้งเกมก็ยิงไม่ได้สักที

https://www.facebook.com/mancity/posts/10163743145360455?__xts__%5B0%5D=68.ARBFPK1iaVPg3RAIWYXykeGyJBuTU2t3209gW2ziP8g8HAy7ntTZsBjKb1rXmOgTN-49-p16L5JqcigD5y9yOa9HBMCjnBjnQhSBKQB4aMcbSJ6ucKJj-zvjjBuX6m4JX3xJUhKVrwnA0pv7rlUL406cIjyR7QSqMrCjbYsIlByLxht3rAMzFlCBMef_s9tuSd57neU017Q6Tgpm3Yo8WoTaMps7-9699C0NhoJb-d2FkkTwGHFcynxxaPtZp2YYxjxSb_uy3XWEUByO5SMAn8S8QmoQRalesJAxuJwnXDWYiYnYWrm9cwbt4h5f_z_ftK-Kp9OT1rb4GZxNRdMm&__tn__=-R

 

GOAL! นาทีที่ 53 ในที่สุด ซิตี้ ก็ทำประตูขึ้นนำจนได้ จากจังหวะที่ เมนดี้ จ่ายให้ อเกวโร่ ได้พลิกยิง บอลทะลักมือ มือกาวเชฟเว้นส์ฯ เข้าประตูไปเลย แถมจังหวะดังกล่าวยังดูก้ำกึ่งเหมือนจะล้ำหน้า แต่โชคร้ายของ เจ้าบ้าน ที่รายการนี้ไม่มีระบบ VAR

ช่วงท้ายเกม เชฟฟิลด์ เว้นส์เดย์ น่าได้ประตูตีเสมอสุดๆ เมื่อ กาเบรียล เฆซุส ไปเสียประตูหน้ากรอบเขตโทษตัวเอง ฮันท์ เปิดยัดเข้าไปที่หน้าประตู แต่ เฟลทเชอร์ โฉบยิงไม่โดน คลาดไปนิดเดียว หมดเวลา 90 นาที “เรือใบสีฟ้า” เอาชนะ เชฟฟิลด์ เว้นส์เดย์ หืดจับ 1-0 ผ่านเข้าสู่รอบต่อไป

สเปอร์ส 1-1 (2-3) นอริช ซิตี้ (5 มีนาคม)

Image may contain: 1 person, outdoor

11 ตัวจริงของทั้งสองทีม

  • สเปอร์ส: (GK) วอร์ม, ออริเย่ร์, ไดเออร์, ซานเชซ, แฟร์ทองเก้น, วิงค์ส, สคิปป์, โล เซลโซ่, เดเล่ อัลลี่, เบิร์คไวจน์ และ ลูคัส มูร่า
  • นอริช ซิตี้: (GK) ครูล, แอรอนส์, ก็อดฟรีย์, ฮานลีย์, ลูอิส, วรานชิช, ทรีบูลล์, บูเอนเดีย, รุปป์, คานท์เวลล์ และ เดอร์มิช

ยิด อาร์มี่ โดย โชเซ่ มูรินโญ่ วันนี้ตัดสินใจโรเตชั่นผู้เล่นบางส่วน โดยให้โอกาส มิเชล วอร์ม รวมถึงดาวรุ่งวัย 19 ปี อย่าง โอลิเวอร์ สคิปป์ เป็นตัวจริง เช่นเดียวกับ นอริช ที่ตัดสินใจพัก ตีมู ปุ๊กกี้

นาทีที่ 11 สเปอร์ส เกือบขึ้นนำจากจังหวะที่ มูร่า ลากมาจ่ายให้ โล เซลโซ่ ได้ซัดเน้นๆ ในกรอบเขตโทษ แต่ต้องชมความยอดเยี่ยมของ ทิม ครูล ที่ออกมาป้องกันได้อย่างรวดเร็ว

GOAL! นาทีที่ 13 จากจังหวะฟรีคิกทางฝั่งซ้ายโดย โล เซลโซ่ บอลพุ่งไปที่เสาสองแล้วเป็น แยน แฟร์ทองเก้น ได้ขึ้นไปโขกเต็มเหนี่ยว บอลตุงตาข่าย สเปอร์ส ออกนำไว สกอร์เป็น 1-0

นาทีที่ 34 ทีมเยือน น่าได้ประตูตีเสมอสุดๆ จากจังหวะที่ บูเอนเดีย ใช้ความสามารถเฉพาะตัวเอาชนะแนวรับไก่มาได้ แล้วตัดสินใจยิงติดมือของ วอร์ม ก่อนที่จังหวะต่อมา รุปป์ จะได้หวดไกลอีกหน คราวนี้ มิเชล วอร์ม ซองแตกเกือบซ้ำรอย อาเดรียน ของ ลิเวอร์พูล โชคดีที่ยังไม่เป็นประตู

https://www.facebook.com/TottenhamHotspur/photos/a.458270683504/10157222458043505/?type=3&theater

 

ช่วงท้ายครึ่งแรก สเปอร์ส มีโอกาสจาก ลูคัส มูร่า ได้ยิงจ่อๆ แต่ก็ยังไม่ผ่านมือของ ทิม ครูล ทำให้หมดเวลา 45 นาที ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ ยังนำ นอริช ซิตี้ แค่ลูกเดียว ต้องไปว่ากันใหม่ในครึ่งหลัง

ช่วงครึ่งหลัง “นกขมิ้นเหลืองอ่อน” ดูเป็นฝ่ายที่วูบวาบมากกว่า นาทีที่ 53 คานท์เวลล์ ทำชิ่งจนหลุดเดี่ยวมาแล้ว แต่ วอร์ม ยังออกมาตัดบอลได้ไว ทำให้พลาดโอกาสยิงไป

นาทีที่ 77 นอริช ซิตี้ เกือบยิงตีเสมอ แอรอนส์ ได้บอลทางริมเส้นก่อนตบกลับเข้ามาให้ ก็อดฟรีย์ ได้ตะบันหลุดเสาไปแค่นิดเดียวเท่านั้น ทีมเยือน ใกล้เคียงประตูเข้ามาทุกขณะ

GOAL! นาทีที่ 78 แม็คลีน ได้บอลบริเวณแถวสอง ก่อนหวดเต็มข้อไปตรงตัวของ มิเชล วอร์ม แต่ วอร์ม ปัดบอลไม่ดีมาเข้าทางของ เดอร์มิช ได้ซ้ำไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่บอลเป็นใจข้ามเส้นไป นอริช ซิตี้ ตีเสมอเป็น 1-1 แถมโมเมนตัมของเกมยังเข้าทางพวกเขาแบบสุดๆ

ช่วงท้ายครึ่งหลัง สเปอร์ส เหมือนกลั้นใจจะเอาประตูชัยให้ได้ แล้วพวกเขาก็เกือบทำได้ใน นาทีที่ 86 เซิร์จ ออริเย่ร์ ได้บอลหลุดไปยิงโล่งๆ แต่ว่าบอลพุ่งไปชนโคนเสาซะงั้น ทำให้หมดเวลา 90 นาที สเปอร์ส ทำได้แค่ยันเสมอกับ นอริช ซิตี้ 1-1 ต้องไปลุ้นกันต่ออีก 30 นาที

นาทีที่ 97 มูรินโญ่ ตัดสินใจส่ง ทรอย แพร์รอตต์ กองหน้าวดาวรุ่งลงสนามมาเป็นคนที่ 4 สุดท้ายช่วงต่อเวลาพิเศษ 30 นาที ทั้งสองทีมไม่สามารถเบิกสกอร์คว้าชัยกันได้ ต้องไปยิงจุดโทษตัดสิน

รายชื่อคนยิงจุดโทษของ สเปอร์ส

  • ไดเออร์ (เข้า)
  • ลาเมล่า (ไม่เข้า)
  • โลเซลโซ่ (เข้า)
  • แพร์รอตต์ (ไม่เข้า)
  • เจดสัน (ไม่เข้า)

รายชื่อคนยิงจุดโทษของ นอริช ซิตี้

  • แม็คลีน (ไม่เข้า)
  • อิคาห์ (เข้า)
  • สตีเปอร์มันน์ (เข้า)
  • คานท์เวลล์ (เข้า)

หลังจบเกม เอริค ไดเออร์ เดือดจัดขึ้นไปเอาเรื่องแฟนบอลทีมตัวเองถึงบนสแตนด์ โดยสื่อรายงานว่า เจ้าตัวถูกเหยียด แถมด่าคนในครอบครัวด้วย >>> คลิกเพื่อดูคลิป

เชลซี 2-0 ลิเวอร์พูล (4 มีนาคม)

Image

11 ตัวจริงของทั้งสองทีม

  • เชลซี: (GK) เกป้า, อัซปิลิกวยต้า, รูดิเกอร์, ซูม่า, อลอนโซ่, กิลมอร์, โควาซิช, บาร์คลีย์, วิลเลี่ยน, เปโดร และ โอลิวิเยร์ ชิรูด์
  • ลิเวอร์พูล: (GK) อาเดรียน, วิลเลี่ยมส์, ฟาน ไดจค์, โกเมซ, โรเบิร์ตสัน, ฟาบินโญ่, ลัลลาน่า, โจนส์, มินามิโนะ, มาเน่ และ ดิว็อค โอริกี้

“สิงห์บลูส์” ภายใต้การคุมทีมของ “ซูเปอร์แฟรงค์” แฟรงค์ แลมพาร์ด วันนี้จัดผู้เล่นตัวจริงผสมดาวรุ่งเล็กน้อย โดยให้โอกาสของ บิลลี่ กิลมอร์ มิดฟิลด์สก็อตติชวัย 18 ปี ลงสนามในฐานะกองกลางตัวรับ ส่วนเกมรุกส่งทั้ง วิลเลี่ยน เปโดร และยังไว้วางใจให้ โอลิวิเยร์ ชิรูด์ กองหน้าร่างยักษ์ชาวฝรั่งเศส ล่าตาข่าย

ขณะที่ เยอร์เก้น คล็อปป์ เพิ่งพบกับความผิดหวังในศึก พรีเมียร์ลีก เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ วันนี้ กุนซือเฮฟวี่เมทัล พักผู้เล่นอย่าง โมฮาเหม็ด ซาลาห์ รวมถึง โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ รวมถึงยังส่งผู้เล่นดาวรุ่ง-สำรองหลายตำแหน่งลงสนามเป็นสิบเอ็ดตัวจริง แต่ยังมี เวอร์จิล ฟาน ไดจค์ และ ซาดิโอ มาเน่ เป็นตัวหลัก

นาทีที่ 12 วิลเลี่ยน ได้บอลส้มหล่นโล่งๆ ในกรอบเขตโทษ เจ้าตัวง้างเต็มข้อซัด นึกว่าจะหายวาบเข้าประตูไปแล้ว แต่ อาเดรียน ยังเซฟเอาไว้ได้อย่างเหลือเชื่อ เชลซี ทักทาย ทีมเยือน ได้อย่างน่ากลัว

https://www.facebook.com/ChelseaFC/photos/a.217015422258/10158373516372259/?type=3&theater

 

GOAL! นาทีที่ 13 จุดเริ่มต้นจากความผิดพลาดของ ฟาบินโญ่ ที่ไปจับบอลยาวหน้ากรอบเขตโทษตัวเองจนโดนฉกไปได้ สุดท้าย วิลเลี่ยน คนเดิมได้ซัด บอลแรงจัดทะลุซอง อาเดรียน เข้าประตูไปเลย นายทวารมือสองหงส์แดง น่าจะทำได้ดีกว่านี้ สิงห์บลูส์ ขึ้นนำ 1-0

นาทีที่ 21 หงส์แดง น่าได้ประตูสุดๆ จากจังหวะนัวหน้าประตูของ เชลซีมาเน่ หาบอลเจอได้ยิงไปติดเซฟของ เกป้า อาร์ริซาบาลาก้า กระดอนมาเข้าทางของ ดิว็อค โอริกี้ ได้ซัดอีกหนก็ยังติดมือ เกป้า อีก คราวนี้กระดอนมาเข้าทาง เคอร์ติส โจนส์ ซัดเปรี้ยงก็ยังไม่เข้าประตู – เกป้า โชว์เซฟ 3 จังหวะติด!

ช่วงท้ายครึ่งแรก มาเตโอ โควาซิช มีอาการบาดเจ็บเล่นต่อไม่ไหว ต้องเอา เมสัน เมาท์ ลงมาแทน สุดท้ายหมดเวลา 45 นาที เชลซี เป็นฝ่ายออกนำ ลิเวอร์พูล ไปก่อน 1-0 ต้องไปว่ากันใหม่ในช่วงครึ่งหลัง

ครึ่งหลัง เริ่มมาได้แค่ 5 นาที วิลเลี่ยน มาเจ็บเพิ่มอีกหนึ่งหน่อ จอร์จินโญ่ ต้องลงสนามมาแทน

นาทีที่ 62 จากจังหวะที่ ฟาบินโญ่ ไปทำฟาล์วใส่ เมสัน เมาท์ เจ้าตัวลุกขึ้นมาซัดฟรีคิกเองบอลชนคาน!

https://www.facebook.com/ChelseaFC/photos/a.217015422258/10158373724002259/?type=3&theater

 

GOAL! นาทีที่ 64 เชลซี ได้สวนกลับมาจากแดนตัวเองแล้วเป็น รอสส์ บาร์คลีย์ ลากบอลมาเองคนเดียวแบบสบายใจเฉิบ สุดท้ายง้างยิงด้วยขวาเสียบเสาเข้าประตูไป สิงโตน้ำเงินคราม 2-0 หงส์แดง

นาทีที่ 74 เจ้าบ้าน เกือบฝังเป็น 3-1 จากจังหวะที่ อัซปิลิกวยต้า วางบอลโคตรแม่นให้ ชิรูด์ สปริ้นท์ไปเอาในกรอบเขตโทษ สุดท้าย ชิรูด์ หาจังหวะยิงได้ไปติดมือ อาเดรียน ชนคานหวุดหวิด!

ช่วงเวลาที่เหลือ หงส์แดง ก็พยายามจะทวงประตูคืน แม้ คล็อปป์ จะส่งทั้ง เจมส์ มิลเนอร์, โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ และ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ลงสนามมา แต่ก็ไม่เป็นผล หมดเวลา 90 นาที “สิงโตน้ำเงินคราม” เชลซี เปิดบ้านเอาชนะ “จ่าฝูงพรีเมียร์ลีก” อย่าง ลิเวอร์พูล 2-0 ทะลุเข้ารอบต่อไปได้สำเร็จ

พอร์ทสมัธ 0-2 อาร์เซนอล (3 มีนาคม)

Image may contain: 2 people

11 ตัวจริงของทั้งสองทีม

  • พอร์ทสมัธ: (GK) เบส, แม็คโครรีย์, โบลตัน, เบอร์เกสส์, เซดอน, โคลส, แม็คจีฮาน, วิลเลี่ยมส์, อีแวนส์, ฮาร์เนสส์, แฮร์ริสัน
  • อาร์เซนอล: (GK) มาร์ติเนซ, โซคราติส, ดาวิด ลุยซ์, ปาโบล มารี, ซาก้า, เก็นดูซี่, ตอร์เรร่า, เนลสัน, วิลล็อค, มาร์ติเนลลี่ และ เอ็ดดี้ เอ็นเคเทียห์

มิเกล อาร์เตต้า กุนซือของ “เดอะ กันเนอร์ส” ในที่สุดก็ได้มีโอกาสส่ง ปาโบล มารี ลงประเดิมสนามนัดแรกในสีเสื้อของ อาร์เซนอล เสียที โดยวันนี้เจ้าตัวจับคู่กับ ดาวิด ลุยซ์ ในฐานะเซ็นเตอร์แบ็ค และโยกเอา โซคราติส กองหลังสัญชาติกรีก ไปเล่นในตำแหน่งแบ็คขวา (สลับยืนหลังสามตามจังหวะ)

นาทีที่ 28 ปืนใหญ่ เกือบเสียประตู จากจังหวะเล่นเร็วของ พอร์ทสมัธ เซดอน ครอสบอลมาเข้ากบาลของ อีแวนส์ ได้โหม่งเหน่งๆ บอลหลุดเสาสองไปแบบได้เสียว

นาทีที่ 30 อาร์เซนอล ก็เกือบได้ประตูจากลูกโหม่งเช่นกัน รีสส์ เนลสัน เปิดบอลจากทางฝั่งขวาให้ กาเบรียล มาร์ติเนลลี่ ได้โขกไม่ถนัดเท่าไหร่ แต่บอลพุ่งข้ามคานไปนิดเดียวเท่านั้น

GOAL! ช่วงท้ายครึ่งแรก ทีมเยือน มาได้ประตูออกนำจนได้ ในนาทีที่ 45+4 เริ่มต้นมาจากจังหวะเตะมุมของ เนลสัน โดนสกัดทิ้งออกมาได้ เนลสัน คนเดิมได้บอลอีกครั้ง คราวนี้โยนเข้าไปลุ้นในกรอบเขตโทษ กลายเป็น “ปาป้า” โซคราติส วิ่งไปแปตามน้ำ ตุงตาข่าย จบครึ่งแรก เดอะ กันเนอร์ส 1-0 พอร์ทสมัธ

https://www.facebook.com/Arsenal/photos/a.10150246028422713/10157745444982713/?type=3&theater

 

GOAL! ครึ่งหลังเริ่มต้นมาได้แปปเดียว นาทีที่ 51 รีสส์ เนลสัน กระชากมาเองจากริมเส้นฝั่งขวา เอาชนะแบ็คซ้ายของ พอร์ทสมัธ ได้ก่อนตบเข้ากลางให้ เอ็ดดี้ เอ็นเคเทียห์ ได้ชาร์จเข้าประตูไป

หลังจากได้ประตูขึ้นนำ 2-0 ปืนใหญ่ ก็ครองบอลใส่อยู่ฝ่ายเดียว ไม่ได้รีบร้อนอะไร ขณะที่ ปอมปีย์ แทบไม่มีจังหวะลุ้นทำประตูเสียวๆ ให้เห็นเลยแม้แต่น้อย ทำให้รูปเกมออกมาค่อนข้างง่วงนอน

นาทีที่ 87 อาร์เตต้า เปลี่ยนตัวเอา กรานิท ชาก้า ที่ถูกพักไว้เป็นตัวสำรอง ลงมาแทนที่ของ โจ วิลล็อค ซึ่งวันนี้เล่นไม่ค่อยออก แถมตอนเดินออกจากสนาม เจ้าตัวยังดูไม่ค่อยแฮปปี้สักเท่าไหร่ ไม่รู้ว่าไม่พอใจฟอร์มการเล่นของตัวเอง หรือเสียดายที่ “พี่อาร์ต” ไม่ให้อยู่ในสนามครบ 90 นาที

หมดเวลา 90 นาที อาร์เซนอล บุกมาเก็บชัยชนะจาก พอร์ทสมัธ ได้ถึงถิ่น แฟรตตันพาร์ก 2-0 ทะลุเข้ารอบต่อไปในรายการฟุตบอลถ้วย เอฟเอคัพ ผ่านเข้าสู่รอบก่อนรองชนะเลิศได้เป็นผลสำเร็จ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ใส่ความเห็น

Back to top button