5 เหตุผลที่ ช้างศึก เกมชนะ บาห์เรน 5-0 กลายเป็นคนละทีมจากชุด ซีเกมส์
จากเกมที่ ทัพช้างศึก ทีมชาติไทย เจ้าภาพฟุตบอลชิงแชมป์เอเชีย 2020 เพื่อคว้าตั๋วไปโอลิมปิก เอาชนะทางด้าน บาห์เรน ไปได้แบบสุดเซอร์ไพรส์ด้วยสกอร์ 5-0 ถือว่าเป็นการเรียกศรัทธาแฟนบอลไทย กลับมาอีกครั้งได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว
หลังจากที่ อากิระ นิชิโนะ นำลูกทีมชุดยู 23 ไปตกรอบจากศึก ซีเกมส์ 2019 ที่ประเทศฟิลิปปินส์ แบบไร้ทรง เขาสามารถนำทีมกลับมาสู่เส้นทางที่ดูเหมือนจะสดใสได้อีกครั้ง จากเกมกับ บาห์เรน
แน่นอนว่าเพียงเกมเดียว เรายังไม่สามารถตัดสินอะไรได้ในทันที แต่มันก็มีอยู่หลายอย่างเช่นกัน ที่บอกถึงความเปลี่ยนแปลงของ ทีมชาติไทย ชุดยู 23 ทีมนี้ที่แตกต่างจากชุดที่เล่นใน ซีเกมส์ อย่างสิ้นเชิง แม้จะเป็นผู้เล่นตัวหลัก ๆ จากชุดเดิม
ดังนั้นเราไปดูกันว่า 5 เหตุผลที่ ช้างศึก เกมชนะ บาห์เรน 5-0 กลายเป็นคนละทีมจากชุด ซีเกมส์ เป็นเพราะอะไรบ้าง ? ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นเพียงความเห็นส่วนหนึ่งของผู้เขียนเท่านั้น หากเพื่อน ๆ มีความเห็นแตกต่างก็สามารถคอมเม้นต์หรือแนะนำไว้ด้านล่างได้เลย
1. ที่ซีเกมส์ อะไร ๆ ก็ห่วย !
ที่เรากำลังจะพูดถึงนั้น ไม่ได้หมายถึงว่า ทีมชาติไทย ที่ผลงานห่วยนะ โอเคว่าน้อง ๆ อาจจะผลงานต่ำกวามาตรฐานจริง ๆ แต่ถ้าจะให้บอกว่าถึงขั้นห่วยเลยมั้ย ผู้เขียนคิดว่าไม่ใช่
สิ่งที่เรากำลังจะบอกนั่นคือ ซีเกมส์ ที่ฟิลิปปินส์ต่างหาก ที่มันห่วยสุด ๆ ไปเลยเริ่มตั้งแต่ระบบการจัดการต่าง ๆ ที่ดูแล้วแทบจะไม่มีกีฬาชนิดไหนเลยที่พร้อม (ยกเว้นแต่ บาสเก็ตบอล) ถึงขนาดที่ว่าฟุตบอลจะเริ่มแข่งในวันถัดไป สนามยังทาสีไม่เสร็จ
หรือจะเป็นการที่ต้องลงเตะในสนามหญ้าเทียม ซึ่งนี่ถือว่าเป็นปัจจัยที่แย่สุด ๆ อีกทั้งสนามที่ใช้ซ้อม ยังต้องหาเองด้วย รวมไปถึงเรื่องอาหาร เครื่องดื่มการกินก็เช่นกัน จึงไม่ต้องแปลกใจนัก หากจะทำให้นักเตะขาดคความมั่นใจ และไม่สามารถงั้นฟอร์มที่ดีที่สุดของตัวเองออกมาได้
2. การเป็นเจ้าภาพ มีส่วนสำคัญยิ่ง
เห็นด้วยกับทางยอดกุนซือจากญี่ปุ่นเป็นอย่างยิ่ง ในเรื่องของการเป็นเจ้าภาพ ซึ่งทาง นิชิโนะ ก็ได้ออกมาพูดถึงเรื่องนี้ด้วยว่า การเป็นเจ้าภาพในศึกชิงแชมป์เอเชียหนนี้ ช่วยให้ไทยได้เปรียบหลายเรื่องด้วยกัน
ทั้งในเรื่องปัจจัยของ การเดินทาง, อาหาร, ความเป็นอยู่, สภาพอากาศ, สนาม, บรรยากาศ, ความกดดันต่าง ๆ ฯลฯ มันช่วยเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เราได้รับชัยชนะอย่างถล่มทลายกับ บาห์เรน
และที่สำคัญเลยหากใครได้เขาไปรับชมถึงสนาม ธรรมศาสตร์ รังสิต ก็จะสัมผัสได้ถึงความดุดันของกองเชียร์และแฟนบอลทีมชาติไทย ที่ตลอด 90 นาทีแทบไม่มีการหยุดร้องเพลงเชียร์เลยด้วยซ้ำ
โดยเครดิตส่วนหนึ่งนอกจากให้กับแฟนบอลแล้ว ก้ต้องยกความดีความชอบให้กับทาง สมาคมฟุตบอลไทยฯ ที่สามารถจัดการและเล็งเห็นถึงความสำคัญในการเป็นเจ้าภาพครั้งแรก และโอกาสที่จะทำให้ ทีมชาติไทย ได้ไป โอลิมปิก มากขึ้น
3. เพราะ นิชิโนะ มีเวลามากพอ…
ข้อนี้อาจทำหลายคนสงสัยว่า เวลาในการทำอะไรกันแน่ ผู้เขียนอยากจะขอเท้าความไปถึง ซีเกมส์ อีกสักเล็กน้อยว่าในศึกที่ฟิลิปปินส์นั้น นิชิโนะ มีเวลาเตรียมทีมเพียงแค่ 3 วันเท่านั้น ขอย้ำว่าเพียง 3 วัน ซึ่งมันช่างน้อยนิดสำหรับโลกฟุตบอลเสียจริง ๆ
อย่างไรแล้วสำหรับการเตรียมตัว เพื่อศึกชิงแชมป์เอเชีย คราวนี้ของ นิชิโนะ ที่เริ่มจะจบต้นชนปลายถูก รวมถึงยังไม่สนเรื่องของโลกโซเชียลที่ต่างออกมาเล่นประเด็นที่ กุนซือชาวญี่ปุ่น ปล่อยให้ลูกทีมได้พักยาวในช่วงปีใหม่ ไม่เรียกเก็บตัวเพื่อลงซ้อม
โดย นิชิโนะ เองก็กังวลว่าหากนักเตะบาดเจ็บ ก็อาจจะเป็นปัญหาใหญกับทีมเสียมากกว่า จึงปล่อยให้นักเตะไปพักผ่อนและกลับมาสู๋แคมป์ทีมชาติด้วยความกระปี้กระเปร่า ซึ่งนั่นก็ดูได้จากการวิ่งไล่ฟัดของนักเตะไทยจากเกมกับ บาห์เรน เห็นได้ชัดว่าน้อง ๆ ดูมีความแข็งแกร่งและดุดันดีจริง ๆ
ส่วนเรื่องของแท็คติกและแผนการเล่นต่าง ๆ นั้นแทบไม่ได้มีการเปลี่ยนอะไรจากเดิมมากนัก ระบบก็ยังเป็น 4-2-3-1 มีแค่สลับผู้เล่นหน้าใหม่ลงมาบ้าง และทีเด็ดจากตัวสำรองของ นิชิโนะ ก็เป็นอาวุธชั้นดีอยู่เสมอ ๆ
4. ชัยชนะนัดแรก คือความกระหาย !
แน่นอนว่าความผิดหวังจากการตกรอบแรกของ ซีเกมส์ กลายเป็นทั้งแรงกดดันและผลักดัน แต่มีอีกสิ่งหนึ่งที่เชื่อว่าจะกลายเป็นแรงจูงใจทำให้ ทีมชาติไทย ชุดยู 23 ของ นิชิโนะ ชุดนี้กระหายชัยชนะและการทำประตูมากขึ้นไปอีก
นั่นก็คือ ชัยชนะนัดแรก ของรายการ ชิงแชมป์เอเชีย ที่ทัพช้างศึกไม่สามารถเก็บสามคะแนนได้เลยแม้แต่ครั้งเดียว แถมยังตกรอบและเป็นบ๊วยกลุ่มอยู่เป็นประจำอีกด้วย
โดยผลงานของทั้งสองปีที่ผ่านมานั้น ถือว่าสาหัสสากันอยู่ทีเดียว โดยปี 2016 จบด้วยบ๊วยกลุ่ม มี 2 แต้ม และยิงได้ 3 ประตู เสีย 7 ประตู ส่วนในปี 2018 แพ้ 3 นัด และยิงได้แค่ 1 ประตู แถมเสียไปถึง 7 ลูก ไม่มีคะแนนเลยแม้แต่คะแนนเดียว
ดังนั้น มันกลายเป็นความกระหายชั้นดี เมื่อบวกกับปัจจัยต่าง ๆ และโอกาสที่เราได้เป็นเจ้าภาพหนนี้ ทำให้น้อง ๆ ทีมชาติไทยชุดนี้ความสามคะแนนแรกได้สำเร็จ แถมมาพร้อมกับ 5 ประตู และคลีนชีตแรกในประวัติศาสตร์อีกด้วย
5. บาห์เรน เล่นได้ต่ำกว่ามาตรฐานจริง ๆ
หากเราลองย้อนสถิติไปดูช่วงหลังของ บาห์เรน จะเห็นได้ว่าจริง ๆ แล้วทีมจากตะวันออกกลาง มีฟอร์มที่ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว โดย ซามีร์ ชามมัม กุนซือชาวตูนีเซีย พาทีมเก็บชัยชนะ 3 เกมรวดในรอบคัดเลือก กลุ่ม B เป็นการชนะ บังคลาเทศ 1-0 และชนะ ศรีลังกา 9-0 และชนะ ปาเลสไตน์ 3-0 เก็บ 9 คะแนนเต็ม ยิงไปทั้งหมด 13 ลูกและไม่เสียประตูเลยแม้แต่ลูกเดียว
อย่างไรก็ตามเกมที่ บาห์เรน แพ้ให้กับ ทีมชาติไทย เราจะเห็นได้ว่าช่องโหว่ของลูกทีม ซามีร์ ชามมัม มีค่อนข้างเยอะเลยทีเดียว ทั้งในเรื่องของการสื่อสารในเกมรับ รวมไปถึงการเข้าทำประตูด้วย ทั้งที่โอกาสมากมายหลายจังหวะ แต่ก็ไม่สามารถเปลี่ยนให้เป็นประตูได้
ส่วนอีกหนึ่งเรื่องที่เห็นได้ค่อนข้างชัดเจน ก็คงจะเป็นเรื่องของสภาพร่างกาย เพราะเมื่อเกมเดินไปสู่ช่วงนาทีที่ 80 นักเตะบาห์เรน ต่างดูเหนื่อยล้า และแทบจะทิ้งเกมรับไปเลย แถมยังโดน นิชิโนะ ส่งสำรองมาเผาเกมรับในช่วงท้ายอีก ยิ่งทำให้เละเทะไปกันใหญ่
นอกจากมาตรฐานของ บาห์เรน ที่ต่ำไป ก็ต้องกล่าวขอบคุณ นิชิโนะ ด้วยเช่นกันที่ทำการบ้านในการเผชิญหน้ากับคู่แข่งได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นการศึกษาจากเกมการแข่งขัน หรือสไตล์การเล่นของ ซาอุดิอาระเบีย ที่มีความคล้ายคลึง ถือว่าเยี่ยมไปเลย