คดีพลิก ภาษีชินคอร์ป ศาลฎีกากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ยืนตามกรมสรรพากร ให้บังคับคดีเก็บภาษี 1.76 หมื่นล้านบาท จาก ทักษิณ ชินวัตร หลัง 2 ศาลล่างยกฟ้อง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (17 พฤศจิกายน 2568) ศาลฎีกาได้มีคำพิพากษากลับ ในคดีภาษีอากรครั้งประวัติศาสตร์ ระหว่าง นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในฐานะโจทก์ ยื่นฟ้อง กรมสรรพากร ในฐานะจำเลย โดยคดีนี้เกี่ยวข้องกับการเรียกเก็บภาษีจากการขายหุ้น บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) จำนวน 1.76 หมื่นล้านบาท
คดีนี้ ศาลฎีกาได้พิพากษากลับคำตัดสินของศาลอุทธรณ์ ให้กรมสรรพากรชนะคดี มีอำนาจในการบังคับคดี เพื่อเรียกเก็บภาษีจำนวน 1.76 หมื่นล้านบาทจากนายทักษิณ ชินวัตร
คดีนี้ เริ่มต้นขึ้นเมื่อปี 2560 กรมสรรพากรได้ออกหนังสือแจ้งประเมินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาต่อนายทักษิณ ชินวัตร จำนวน 1.76 หมื่นล้านบาท จากกรณีการขายหุ้นชินคอร์ปฯ
ต่อมา นายทักษิณได้ยื่นฟ้องกรมสรรพากรต่อศาลภาษีอากรกลาง เพื่อขอให้เพิกถอนการประเมินภาษีดังกล่าว โดยศาลภาษีอากรกลาง (ศาลชั้นต้น) มีคำพิพากษาให้นายทักษิณชนะคดี วินิจฉัยว่ากระบวนการประเมินภาษีของกรมสรรพากรไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากกรมสรรพากรไม่ได้ออกหมายเรียกไปยังนายทักษิณซึ่งเป็นผู้ถูกประเมินโดยตรง แต่กลับไปออกหมายเรียกไปยังนายพานทองแท้และนางสาวพินทองทา ชินวัตร บุตรของนายทักษิณแทน
จากนั้น กรมสรรพากรได้ยื่นอุทธรณ์ แต่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ ได้มีคำพิพากษาเมื่อปี 2566 พิพากษายืนตามศาลภาษีอากรกลาง ให้นายทักษิณชนะคดีเป็นศาลที่สอง
กรมสรรพากรได้ยื่นฎีกาต่อศาลฎีกาเพื่อสู้คดีต่อ จนกระทั่งในวันนี้ (17 พ.ย. 68) ศาลฎีกา ซึ่งเป็นศาลสูงสุด ได้มีคำพิพากษากลับคำตัดสินของศาลอุทธรณ์ ให้เหตุผลว่าการประเมินภาษีของกรมสรรพากรชอบด้วยกฎหมายแล้ว และพิพากษาให้บังคับคดีเรียกเก็บภาษีดังกล่าว
ขั้นตอนหลังจากนี้ กรมสรรพากรจะต้องดำเนินการในส่วนของการบังคับคดี โดยจะต้องยื่นขอให้ออกหมายบังคับคดี ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาราว 1-2 เดือน ก่อนจะสามารถดำเนินการยึดทรัพย์เพื่อชำระภาษีต่อไป
ย้อนคดีหุ้นชินคอร์ปเป็นมายังไง
สาระสำคัญหลักคือ ประเด็นซื้อขายหุ้นบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ของตระกูลชินวัตรและดามาพงศ์ ให้กับบริษัทเทมาเส็ก โฮลดิ้งส์ ของสิงคโปร์ ในปี พ.ศ. 2549 ซึ่งมีมูลค่าสูงถึง 73,271 ล้านบาท
นายทักษิณ ชินวัตร ขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ถูกกล่าวหาว่ายังคงเป็นเจ้าของหุ้นบริษัทชินคอร์ปฯ ผ่านการให้นอมินี (ตัวแทนถือหุ้นแทน) ถือหุ้นแทน ซึ่งเป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญและ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ที่ห้ามเจ้าหน้าที่รัฐเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทที่เป็นคู่สัญญากับหน่วยงานของรัฐ
ต่อมา ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำวินิจฉัยว่านายทักษิณมีความผิดฐานจงใจปกปิดการถือครองหุ้น ให้นอมินีถือหุ้นแทน และมีคำพิพากษาจำคุก 5 ปี ในคดีที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขสัญญาสัมปทานที่เป็นผลประโยชน์ทับซ้อน
ส่วนประเด็นภาษี การขายหุ้นดังกล่าวในตลาดหลักทรัพย์ฯ นายพานทองแท้ และนางสาวพินทองทา ชินวัตร ได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามกฎหมายที่มุ่งจูงใจนักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ทำให้ไม่ต้องเสียภาษีเป็นจำนวนเงินกว่า 1.7 หมื่นล้านบาท
ต่อมา กรมสรรพากรพยายามประเมินเรียกเก็บภาษีจากนายทักษิณโดยตรงในฐานะเจ้าของที่แท้จริง (ตัวการ) แต่ศาลภาษีอากรกลางและศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษาว่าการดำเนินการของกรมสรรพากรไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากไม่ได้ออกหมายเรียกนายทักษิณโดยตรงภายในกำหนดเวลา
ในส่วนของเจ้าหน้าที่กรมสรรพากร 5 คนที่เกี่ยวข้องกับการประเมินภาษีหุ้นแอมเพิลริช ศาลฎีกาพิพากษาจำคุก 2 ปีโดยไม่รอลงอาญา ในความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อเอื้อประโยชน์
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
- พินทองทา น้ำตาคลอหลังเยี่ยม “ทักษิณ” เผยพ่อช้ำหนัก! อุทธรณ์พลิกคดี 112
- ชูวิทย์ ฟาดแรง อุทธรณ์คดี 112 คือแผนสกัด “ทักษิณ” ไม่ให้พ้นคุกก่อนเลือกตั้ง
- ครม. แต่งตั้ง “ผกก.หนุ่ย” ตร.อารักขา “ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์” นั่งรอง ผอ.ยุทธศาสตร์ชาติ
ติดตาม The Thaiger บน Google News:



