ข่าว

สรุป “ยุบสภา” คืออะไร ดาบสุดท้ายรัฐบาล คืนอำนาจประชาชน ก่อนเลือกตั้งใหม่

วิเคราะห์ประเด็นสำคัญจากข่าว

ชวนทำความเข้าใจความหมาย “ยุบสภา” ที่มาที่ไป ขั้นตอนตามรัฐธรรมนูญ ผลกระทบที่จะเกิดขึ้น และย้อนดูประวัติศาสตร์การยุบสภาทั้ง 15 ครั้งที่ผ่านมาของการเมืองไทย

ท่ามกลางสถานการณ์การเมืองที่ไร้ทางออกหลังตำแหน่งนายกรัฐมนตรีว่างลง ล่าสุดมีรายงานข่าวว่าพรรคเพื่อไทยได้ตัดสินใจเลือกใช้ไพ่ใบสุดท้ายทางการเมือง นั่นคือการ “ยุบสภาผู้แทนราษฎร” เพื่อคืนอำนาจให้ประชาชนตัดสินใจผ่านการเลือกตั้งใหม่ หลังจากแรงกดดันทางการเมืองในการจัดตั้งรัฐบาลผสมมีความซับซ้อนและส่อเค้าบานปลาย

แหล่งข่าวระบุว่า การตัดสินใจยุบสภาของพรรคเพื่อไทย มีขึ้นเพื่อตัดหน้าความพยายามของพรรคประชาชนและพรรคภูมิใจไทยที่อาจจับมือกันรวบรวมเสียงเพื่อเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีคนใหม่แข่ง ดังนั้น เพื่อทำความเข้าใจการตัดสินใจครั้งประวัติศาสตร์นี้ จึงจำเป็นต้องมาทำความรู้จักว่า “การยุบสภา” คืออะไร และจะส่งผลกระทบต่อประเทศไทยอย่างไรต่อไป

การยุบสภาผู้แทนราษฎรคืออะไร

การยุบสภา (Dissolution of Parliament) หมายถึง การที่ประมุขของรัฐประกาศให้สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) สิ้นสุดลงพร้อมกันทุกคนก่อนครบวาระ โดยได้รับคำแนะนำจากฝ่ายบริหารหรือหัวหน้ารัฐบาล เพื่อจัดให้มีการเลือกตั้ง สส. ชุดใหม่

ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 108 พระมหากษัตริย์ทรงมีพระราชอำนาจในการยุบสภาผู้แทนราษฎรเพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่ การยุบสภาจะกระทำโดยพระราชกฤษฎีกา ซึ่งต้องกำหนดวันเลือกตั้งทั่วไปภายใน 45-60 วันนับแต่วันยุบสภา

วัตถุประสงค์ของการยุบสภา

การยุบสภามีวัตถุประสงค์หลัก 2 ประการ คือ

1. เพื่อถ่วงดุลอำนาจฝ่ายนิติบัญญัติ: การยุบสภาเป็นเครื่องมือของฝ่ายบริหาร (รัฐบาล) ที่ใช้ควบคุมหรือตอบโต้ฝ่ายนิติบัญญัติ (รัฐสภา) หากเกิดความขัดแย้ง หรือรัฐบาลถูกกดดันมากเกินไป รัฐบาลอาจตัดสินใจยุบสภาเพื่อคานอำนาจของสภาได้

2. เพื่อคืนอำนาจตัดสินใจให้ประชาชน: เมื่อเกิดข้อขัดแย้งทางการเมืองที่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็นระหว่างรัฐบาลกับสภา หรือภายในสภาด้วยกันเอง การยุบสภาเป็นการคืนอำนาจให้ประชาชนในฐานะเจ้าของอำนาจอธิปไตยได้เป็นผู้ตัดสินผ่านการเลือกตั้ง ผลการเลือกตั้งจะชี้ว่าประชาชนเห็นด้วยกับแนวทางของฝ่ายใด

ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร / แฟ้มภาพ

กรณีที่นำไปสู่การยุบสภา

ในทางปฏิบัติ มีเหตุการณ์หลายกรณีที่สามารถนำไปสู่การตัดสินใจยุบสภาได้ ดังนี้

1. ความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลกับสภา: เช่น สภาไม่ผ่านร่างกฎหมายสำคัญที่รัฐบาลเสนอ

2. ความขัดแย้งระหว่างวุฒิสภากับสภาผู้แทนราษฎร: หากความขัดแย้งในการพิจารณากฎหมายดำเนินต่อไป รัฐบาลอาจยุบสภาเพื่อยุติปัญหา

3. มีการแก้ไขหรือร่างรัฐธรรมนูญใหม่: รัฐบาลอาจยุบสภาเพื่อให้มีรัฐสภาชุดใหม่ที่ทำงานภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่

4. ต้องการเร่งการเลือกตั้งให้เร็วขึ้น: เมื่อสภาใกล้ครบวาระ สมาชิกอาจขาดความกระตือรือร้น การยุบสภาจะทำให้ได้ สส. ชุดใหม่ที่พร้อมทำงานเร็วขึ้น

5. รัฐบาลมีคะแนนนิยมสูง: เป็นการตัดสินใจทางยุทธศาสตร์เพื่อจัดการเลือกตั้งในขณะที่พรรคของตนกำลังเป็นที่นิยม เพื่อเพิ่มโอกาสในการกลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้งด้วยความเข้มแข็งกว่าเดิม

6. เพื่อชิงตัดหน้าการอภิปรายไม่ไว้วางใจ: นายกรัฐมนตรีอาจยุบสภาก่อนที่ฝ่ายค้านจะยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ เพื่อให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินแทนสภา

7. รัฐบาลขาดเสถียรภาพ: เกิดปัญหาในการจัดตั้งรัฐบาล หรือรัฐบาลผสมไม่มีเอกภาพ ทำให้นายกรัฐมนตรีไม่สามารถควบคุมการทำงานได้

8. เกิดปัญหาร้ายแรงในการบริหารประเทศ: จนทำให้สภาไม่สามารถทำงานต่อไปได้

9. ประชาชนเรียกร้อง: เกิดกระแสเรียกร้องจากประชาชนส่วนใหญ่ที่ต้องการให้มีการเลือกตั้งใหม่

ใครมีอำนาจยุบสภา

  • ผู้มีพระราชอำนาจ: รัฐธรรมนูญบัญญัติให้การยุบสภาเป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์
  • ผู้ทูลเกล้าฯ ถวายคำแนะนำ: นายกรัฐมนตรีเป็นผู้มีอำนาจในการถวายคำแนะนำและเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการในพระราชกฤษฎีกายุบสภา ซึ่งตามหลักการ “The King can do no wrong” ผู้รับสนองพระบรมราชโองการจะเป็นผู้รับผิดชอบทางการเมือง

ผลที่ตามมาหลังการยุบสภา

เมื่อมีการยุบสภา จะเกิดผลทางกฎหมายที่สำคัญดังนี้

1. สส. พ้นจากตำแหน่ง: สมาชิกภาพของ สส. ทั้งสภาสิ้นสุดลงทันที

2. จัดการเลือกตั้งใหม่: ต้องจัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปภายใน 45-60 วัน

3. คณะรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่ง: รัฐมนตรีทั้งคณะจะพ้นจากตำแหน่ง แต่ยังต้องอยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไปในฐานะ “รัฐบาลรักษาการ” จนกว่าจะมีคณะรัฐมนตรีชุดใหม่เข้ารับหน้าที่ โดยรัฐบาลรักษาการมีอำนาจจำกัด เช่น ไม่สามารถแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการระดับสูง หรืออนุมัติโครงการที่สร้างภาระผูกพันต่อรัฐบาลชุดต่อไปได้ เว้นแต่จะได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)

4. วุฒิสภาประชุมไม่ได้: ในระหว่างที่ไม่มีสภาผู้แทนราษฎร จะมีการประชุมวุฒิสภาไม่ได้ เว้นแต่เป็นการประชุมที่ให้วุฒิสภาทำหน้าที่รัฐสภาในกรณีพิเศษ เช่น การให้ความเห็นชอบผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์, การประกาศสงคราม, การพิจารณาให้บุคคลดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ หรือการพิจารณาถอดถอนบุคคลออกจากตำแหน่ง

5. ร่างกฎหมายบางฉบับตกไป: ร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม หรือร่างพระราชบัญญัติที่ยังไม่ได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาจะถือว่าเป็นอันตกไป

ประวัติศาสตร์การยุบสภาในประเทศไทย

นับตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 จนถึงข้อมูล ณ เดือนมีนาคม 2566 ประเทศไทยมีการยุบสภาผู้แทนราษฎรมาแล้วทั้งสิ้น 15 ครั้ง โดยมีเหตุผลแตกต่างกันไปในแต่ละสมัยรัฐบาล ดังนี้

  • ครั้งที่ 1: 11 กันยายน พ.ศ. 2481 (พันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา) – รัฐบาลขัดแย้งกับสภา
  • ครั้งที่ 2: 15 ตุลาคม พ.ศ. 2488 (ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช) – สภาผู้แทนฯ มีการยืดอายุมานานช่วงสงคราม
  • ครั้งที่ 3: 16 ธันวาคม พ.ศ. 2516 (นายสัญญา ธรรมศักดิ์) – สมาชิกสภานิติบัญญัติลาออกจำนวนมากจนไม่สามารถทำหน้าที่ได้
  • ครั้งที่ 4: 12 มกราคม พ.ศ. 2519 (ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช) – ความขัดแย้งภายในรัฐบาล
  • ครั้งที่ 5: 19 มีนาคม พ.ศ. 2526 (พลเอกเปรม ติณสูลานนท์) – สภาผู้แทนฯ ขัดแย้งกับวุฒิสภากรณีแก้ไขรัฐธรรมนูญ
  • ครั้งที่ 6: 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2529 (พลเอกเปรม ติณสูลานนท์) – รัฐบาลขัดแย้งกับสภากรณีการตราพระราชกำหนด
  • ครั้งที่ 7: 29 เมษายน พ.ศ. 2531 (พลเอกเปรม ติณสูลานนท์) – ความขัดแย้งภายในรัฐบาล
  • ครั้งที่ 8: 30 มิถุนายน พ.ศ. 2535 (นายอานันท์ ปันยารชุน) – เกิดวิกฤตทางการเมือง (เหตุการณ์พฤษภาคม 2535)
  • ครั้งที่ 9: 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2538 (นายชวน หลีกภัย) – ความขัดแย้งภายในรัฐบาล
  • ครั้งที่ 10: 28 กันยายน พ.ศ. 2539 (นายบรรหาร ศิลปะอาชา) – ความขัดแย้งภายในรัฐบาล
  • ครั้งที่ 11: 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2543 (นายชวน หลีกภัย) – เพื่อรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชน
  • ครั้งที่ 12: 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2549 (พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร) – เกิดวิกฤตทางการเมือง
  • ครั้งที่ 13: 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 (นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ) – เพื่อคืนอำนาจให้ประชาชนตัดสินใจหลังเกิดความขัดแย้งทางการเมือง
  • ครั้งที่ 14: 9 ธันวาคม พ.ศ. 2556 (นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) – เกิดวิกฤตทางการเมือง
  • ครั้งที่ 15: 20 มีนาคม พ.ศ. 2566 (พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา) – เพื่อคืนอำนาจให้ประชาชนตัดสินใจหลังวิกฤติการณ์ทางการเมือง

ที่มา: สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา, Wikipedia

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

ติดตาม The Thaiger บน Google News:

Suriyen J.

นักเขียนบทความข่าว จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ สาขาปรัชญาและศาสนา มีประสบการณ์กับสำนักข่าวระดับประเทศ ชื่นชอบด้านสังคม การเมือง ต่างประเทศ ทำให้สามารถสร้างคุณค่าผ่านงานเขียน เพื่อให้ผู้อ่านได้ประโยชน์ครบทุกมิติ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to top button