บันเทิง

เจ๋ง บิ๊กแอส โต้ดราม่าอัดศิลปินขี้ยา อ้างแพสชั่น ปัดแซะขาร็อค-งงใจขาเสพโยงด่ามั่ว

เจ๋ง บิ๊กแอส โพสต์โต้กระแสตีกลับ ศิลปินพี้ยาอ้างแพสชั่น หลังร้องนำมาดอโมริม รับตัวเองไม่ใช่ขาดื่ม-สูบ และไม่จำเป็นต้องใช้พวกนี้ ก่อนแฟนเพลง

จากกรณีที่ เจ๋ง เดชา โคนาโล นักร้องนำของวงบิ๊กแอส แสดงความเห็นถึงศิลปินเพื่อนร่วมวงการตัวจริง ไม่จำเป็นต้องหันไปพึ่งยาเสพติดเพื่อสร้างแพสชั่นตามก๊วนขาร็อคสมัยก่อน หลังเกิดกรณี “แซ็ค” พัชรพล ปานพุ่ม วงไอ-แซ็ค ซึ่งติดต่อมาซื้อยาไอซ์กับผู้ต้องหาค้ายาเสพติดข้ามชาติ ก่อนอดีตนักร้องดังจะอ้างว่าที่ผ่านมาตลอด 2 ปี จะมีการติดต่อซื้อยาไอซ์เพื่อนำมาเสพเวลาเล่นดนตรี ซึ่งจากข่าวดังกล่าวทำให้หลายคนที่ติดตามข่าวมองถึงการเลือกใช้ยาเสพติดของศิลปิน-นักดนตรี เพื่อมอบความสุขให้แฟนเพลง เป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม

อย่างไรก็ดีสำรหับคนที่ตามโซเชียลโดยเฉพาะบนภาคพื้นวงการบันเทิงทั้งละครและดนตรีสร้างสรรค์ ต่างทราบดีว่าการออกมาแสดงความเห็นหนล่าสุดของนักร้องนำเลือดร็อครุ่นใหม่ทรงพลังได้ไม่ต้องพึ่งยานั้น ถูกทั้งแฟนคลับและชาวเน็ตในฐานะกูรูบนโลกออนไลน์รุมสับจนเสียงแตก! ออกมาเป็น 2 ฝั่ง

ทั้งมุมของฝั่งที่ออกแรงหนุนศิลปินยุคใหม่ เลิกเท่โดยหลงค่านิยิมผิดๆ ที่คิดว่าจำเป็นต้องใช้สารเสพติดถึงจะได้เนื้อหางานมาสเตอร์พีช ตลอดจนมโนสาเร่ใดๆ แล้วแต่ที่มีตัวแปรของสารสื่อประสาทมาใช้กระตุ้นอารมณ์ศิลปิน ซึ่งในส่วนของเจ๋ง บิ๊กแอส ในฐานะบุคคลดนตรีซึ่งทำงานในวงการนี้ยาวนานถึง 23 ปี จึงจำเป็นต้องออกมาสื่อสารไปยังสังคมโดยรอบอีกครั้ง

ทั้งนี้ก่อนจะไปเปิดโพสต์ที่ร่ายยาวตัวล่าสุด เพื่อความได้ “อรรถรส” ขออนุญาตย้อนไปเปิดคำพูดของนักร้องนำมาดเท่คนนี้ตอนที่ไปร่วมงานบวงสรวงภาพยนตร์ “4 ป่าช้า” เมื่อ 19 มี.ค.ที่ผ่านมาที่เป็นต้นตอดราม่า โดยฟรอนแมนต์วัย 47 ปี ระบุตอนนั้นสำหรับเรื่องที่มีศิลปินเข้าไปพัวพันในเรื่องผิดกฎหมาย-สารเสพติด

“ที่คนเขาบอกว่าผมเป็นศิลปินนะ ผมต้องพึ่งพวกนี้ ผมถึงต้องมีเอ็นเนอร์จี้ในการเล่น ในมุมมองของผมเอาจากใจผมเลย สิ่งเหล่านี้ที่เขาพูดมันเป็นสิ่งที่ผิด มันเป็นการเข้าใจผิด ถามว่าดนตรีบ้านเรายุคกำเนิดคือต้นแบบมาจากเมืองนอก”

“เมืองนอกเขาอาจจะเล่นยา-สูบบุหรี่-กินเหล้า แล้วศิลปินบ้านเราในยุคนั้นเห็นมันอาจจะดูเท่ก็เลยทำตาม”

นักร้องนำบิ๊กแอสไม่กินเหล้าสูบบุหรี่คือใคร
แฟ้มภาพ IG @jengkonalo

“ผมถามหน่อยว่าทุกวันนี้ แค่กินเหล้า สูบบุหรี่ ผมว่ามันก็แย่พอแล้ว สำหรับสังคมเราทุกวันนี้ คำว่าศิลปิน ศิลปินคือคุณต้องมีจิตวิญญาณของคุณ ความสุขของคนที่อยากจะร้องเพลง คุณอย่ามาอ้างว่าคุณจะต้องเมา ต้องกินเหล้า ต้องเสพยาก่อน ถึงจะมีอารมณ์ในการเล่น ถ้ายกตัวอย่าง อย่างผม และศิลปินหลายๆ คน เขาไม่เห็นต้องพึ่งเลย”

“ถ้าคุณอยากสนุก คุณเอาความรู้สึกจริงๆ ของคุณ คุณเป็นศิลปินจริงๆ เอาออกมาเลย เหมือนผมเองผมรู้สึกยังไง อยากสนุกทุกครั้งที่ไปเล่นคอนเสิร์ตในทุกที่ผมตื่นเต้น-มือสั่น สิ่งเหล่านี้คือเอ็นเนอร์จี้ อีกอย่างคุณต้องเคารพตัวเองให้เป็นจะมาบอกว่าต้องใช้ยาเสพติด-ดื่มเหล้า ถึงจะมีนู่นมีนี่ ผมว่าคุณไม่เคารพตัวเอง ไม่ดูแลตัวเอง-ไม่รักตัวเอง แล้วก็ไม่ให้เกียรติแฟนเพลงคุณด้วย เขารักคุณจากอะไร เขามาติดตามคุณเพราะอะไร เพราะคุณเป็นศิลปิน เป็นตัวอย่าง แต่ถ้าตัวอย่างของคุณคือการกินเหล้าเสพยาแล้วมานู่นนี่ คืออย่าเป็นเลยศิลปิน ผมกล้าพูดเลย”

“ถ้าผมพูดตรงนี้ไป แล้วศิลปินท่านอื่นไม่พอใจในคำพูดผม ก็ไม่ต้องพอใจ ผมกล้าพูดเพราะตัวผมเองผมเป็นคนที่ไม่กินเหล้าไม่สูบบุหรี่ และไม่จำเป็นต้องใช้พวกนี้ด้วย”

เจ๋ง บิ๊กแอส ไม่กินเหล้า
แฟ้มภาพ IG @jengkonalo

เปิดโพสต์สดๆ ร้อนๆ ร้องนำลุคโค้ชทีมบอลอังกฤษ ขอแจง “จากกรณีที่ผมให้สัมภาษณ์เรื่องยาเสพติด”

เมื่อคืนดึกของวันที่ 20 มี.ค.68ที่ผ่านมา เจ๋ง บิ๊กแอส ลงเนื้อหาร่ายยาวดราม่าเบาศิลปิินกับยาดเเสพติดตกลงต้องพึ่งพาอาศัยกหันหรือไม่ ซึ่งรายละเอียดทั้งหมดบนเฟซบูีกแฟนเพจ Jeng Konalo ระบุ จากกรณีที่ผมให้สัมภาษณ์เรื่องยาเสพติด

“นักข่าวถามผมว่าคิดยังไงกับคำพูดที่ว่า ก็ผมเป็นศิลปิน ผมเลยต้องใช้ยาเพื่อจะได้มีฟิลลิ่ง มีอารมณ์ในการร้องในการโชว์ ผมไม่ได้ว่าหรือพูดตำหนิคนที่กินเหล้า เบียร์ บุหรี่ ผมพูด บอกว่า ทุกวันนี้ แค่กินเหล้าสูบบุหรี่ ก็หนักแล้วไหนจะบุหรี่ไฟฟ้าอีก
เพราะที่วงผมเองก็สูบบุหรี่กินเหล้า มันไม่ใช่เรื่องผิดครับ ใครคนอื่นที่กินเหล้าดูดบุหรี่ก็ไม่ได้ผิดอะไรครับ แต่ผมพูดเรื่องเล่นยาใช้ยาเสพติดครับ

“ไม่ได้บอกว่าไม่ใช่ศิลปิน ถ้าเล่นยา แต่ผมใช้คำว่า อย่าเป็นเลยศิลปิน ถ้าต้องพึ่งยาใช้ยาเสพติดจนมึนเมาเพื่อให้มีฟิลลิ่งมีอารมณ์ในการร้องเพลงขึ้นคอนเสิร์ต ถ้ามันหมดไฟหมดฟิลลิ่ง หมดแพสชั่น ในการร้องเพลงหรือขึ้นคอนเสิร์ตก็หยุดดีกว่า ไปหาไรอย่างอื่นทำ มันทำร้ายตัวเราเองเปล่าๆ ไม่ให้เกียรติตัวเอง ไม่ให้เกียรติคนที่เป็นแฟนเพลงที่เขารักชื่นชมเรา สุดท้ายผมเห็นจุดจบของคนเล่นยาติดยาเสพติดมันเป็นยังไง พังครับ ก็เห็นกันในข่าวทุกวัน”

“แล้วผมไม่พูดพาดพิงถึงใคร แล้วผมก็ไม่ได้ซ้ำเติม ในชีวิตทุกคนเคยทำผิดพลาดกันทั้งนั้นครับ รวมถึงผมเอง ผมทิ้งท้าย ไว้ว่าใครจะชอบไม่ชอบไม่พอใจในคำพูดของผม ก็เชิญครับ เพราะผมพูดในมุมของผม และในเมนต์เพจข่าวก็เที่ยวไปโยงพูดพาดพิงศิลปินท่านอื่นเอง รวมถึงวงดังๆ ต่างประเทศ กันเองทั้งนั้น แขวะผมอย่างนั้นอย่างนี้ ทั้งที่ผมพูดเรื่องของยาเสพติด แต่โยงด่ากันไปนอกเรื่องนอกประเด็นกันเอง ความคิดคนสังคมเรามันแย่ลงกันขนาดนี้เลยรึครับ เหมือนคนที่แขวะด่าผม สนับสนุนคนเสพยาหรือคนติดยาเสพยามันเยอะเกินไป”.

ขุดกรุตำนานศิลปิน ประวัติศาสตร์ยาวนาน ความซับซ้อนของ “สารเสพติด” ในวงการเพลง

ภาพ Unsplash @othentikisra
ภาพ Unsplash @othentikisra

ยาเสพติดในวงการดนตรี : มุมมองทางประวัติศาสตร์

วงการดนตรีเป็นแหล่งบ่มเพาะความคิดสร้างสรรค์ ความหลงใหล และการแสดงออกทางศิลปะมาโดยตลอด แต่ในอีกด้านหนึ่ง วงการนี้ก็มีประวัติศาสตร์อันยาวนานและซับซ้อนเกี่ยวกับการเสพติดยาเสพติด นับตั้งแต่ทศวรรษที่ผ่านมา

นักดนตรีจำนวนนับไม่ถ้วนต้องพ่ายแพ้ต่อสิ่งล่อใจของสารเสพติด นำไปสู่การเสียชีวิตที่น่าเศร้าและก่อนวัยอันควร อาชีพที่พังทลาย และชีวิตที่แตกสลาย การเสพติดยาเสพติดในวงการดนตรีไม่ใช่ปรากฏการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น แต่มีมานานกว่าครึ่งศตวรรษ สะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรม บรรทัดฐานทางสังคม และแรงกดดันในยุคสมัยต่างๆ

การทำความเข้าใจบริบททางประวัติศาสตร์นี้สามารถช่วยฉายภาพให้เห็นว่าเหตุใดการใช้สารเสพติดจึงยังคงเป็นปัญหาที่ฝังรากลึกในหมู่นักดนตรีในปัจจุบัน

บทความนี้ซึ่งอ้างอิงจาก vocal.media จะสำรวจความสัมพันธ์อันซับซ้อนระหว่างดนตรีกับการเสพติด โดยพิจารณารูปแบบการใช้ยาเสพติดตั้งแต่ยุคแรกๆ ของดนตรีแจ๊สในทศวรรษ 1920 ไปจนถึงวงการ “ฮิปฮอปสมัยใหม่” โดยมีเป้าหมายเพื่อนำเสนอข้อมูลเชิงลึกว่าวงการนี้จะสามารถจัดการกับความท้าทายเหล่านี้ได้อย่างไรในอนาคต

บุคคลสำคัญและแนวโน้ม:

บิลลี่ ฮอลิเดย์ (Billie Holiday) หนึ่งในบุคคลที่โดดเด่นที่สุดในยุคนั้น ต้องต่อสู้กับการติดเฮโรอีนอย่างรุนแรง ซึ่งท้ายสุดก็นำไปสู่การเสียชีวิตที่น่าเศร้า เสียงร้องที่หลอกหลอนและเต็มไปด้วยจิตวิญญาณของเธอได้รับอิทธิพลอย่างลึกซึ้งจากความเจ็บปวดส่วนตัว “และการต่อสู้กับการเสพติด”

Happy ValentinesDay Billie Holiday (1) 2024 fanpage
แฟ้มภาพ Facebook @BillieHoliday

Cab Calloway และ “Reefer Man” : กัญชาเป็นที่นิยมในวงการแจ๊ส มักถูกยกย่องในเพลงต่างๆ เช่น เพลง “Reefer Man” ของ Cab Calloway ซึ่งนำเสนอผลกระทบของกัญชาในลักษณะที่ขบขัน นี่เป็นหนึ่งในตัวอย่างแรกๆ ที่แสดงให้เห็นว่าวัฒนธรรมยาเสพติดเริ่มเข้ามาผสมผสานกับดนตรีได้อย่างไร

ทศวรรษ 1960-1970 : ร็อกแอนด์โรล-ไซเคเดลิก และขบวนการต่อต้านวัฒนธรรม

“ทศวรรษ 1960” ถือเป็นจุดเปลี่ยนของการใช้ยาเสพติดในวงการดนตรี ด้วยการเติบโตของขบวนการต่อต้านวัฒนธรรม การใช้ยาเสพติดประเภทไซเคเดลิก เช่น LSD กลายเป็นสิ่งที่ควบคู่ไปกับการแสวงหาจิตสำนึกที่สูงขึ้นและการสำรวจความคิดสร้างสรรค์ ร็อกแอนด์โรลกลายเป็นแนวเพลงหลัก และวงดนตรีอย่าง The Beatles, The Rolling Stones และ The Doors เป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมนี้ สำหรับหลายๆ คน การทดลองใช้ยาเสพติดถูกมองว่าเป็นวิธีหนึ่งในการขยายความคิดและก้าวข้ามขีดจำกัดทางความคิดสร้างสรรค์

ภาพ Unsplash @fmdevice
ภาพ Unsplash @fmdevice

บุคคลสำคัญและแนวโน้ม :

เดอะ บีธเทิลส์ (The Beatles) : การเปลี่ยนแปลงของ 4 เต่าทอง จากวงบอยแบนด์ที่ดูสะอาดสะอ้านไปสู่ผู้บุกเบิก “เพลงไซเคเดลิกร็อก” เกิดขึ้นพร้อมกับการทดลองใช้ยาเสพติด อัลบั้มอย่าง “Revolver” และ “Sgt. Pepper’s Lonely Hearts Club Band” ได้รับอิทธิพลอย่างมากจากประสบการณ์ของพวกเขากับสารเสพติด เช่น LSD และกัญชา

จิมมี่ เฮนดริกซ์ (Jimi Hendrix) และแจนิส จอปลิน (Janis Joplin) : ทั้งเฮนดริกซ์และจอปลิน กลายเป็นสัญลักษณ์ของวิถีชีวิต “เซ็กส์ ยาเสพติด และร็อกแอนด์โรล” อย่างไรก็ตามการใช้ยาเสพติดของพวกเขาก็นำไปสู่การเสียชีวิตก่อนวัยอันควรในวัย 27 ปี ซึ่งเน้นให้เห็นถึงด้านอันตรายของวัฒนธรรมที่ปล่อยปละละเลยในยุคนั้น

ปรากฏการณ์วูดสต็อก (Woodstock) : เทศกาลวูดสต็อกในปี 1969 มักถูกจดจำในฐานะสัญลักษณ์แห่งสันติภาพ ความรัก และดนตรี แต่ก็เป็นตัวแทนของจุดสูงสุดของวัฒนธรรมยาเสพติดในวงการดนตรีเช่นกัน ยาเสพติดอย่าง LSD กัญชา และแม้แต่เฮโรอีนถูกใช้อย่างเปิดเผย สะท้อนให้เห็นถึงบรรยากาศแห่งความสุขนิยมในเวลานั้น

Mötley Crüe กลายเป็นที่เลื่องลือในเรื่องการใช้ยาเสพติด ซึ่งมีการบรรยายรายละเอียดอย่างกว้างขวางในหนังสือบันทึกความทรงจำของพวกเขาชื่อ "The Dirt"
แฟ้มภาพ Facebook @MotleyCrue

ทศวรรษ 1980: เฮฟวีเมทัล, โคเคน และจุดเริ่มต้นของการบำบัด

บุคคลสำคัญและแนวโน้ม :

Mötley Crüe : สมาชิกวง Mötley Crüe กลายเป็นที่เลื่องลือในเรื่องการใช้ยาเสพติด ซึ่งมีการบรรยายรายละเอียดอย่างกว้างขวางในหนังสือบันทึกความทรงจำของพวกเขาชื่อ “The Dirt” เรื่องราวของพวกเขาเกี่ยวกับการเสพยาอย่างหนัก การถูกจับกุม และประสบการณ์เฉียดตายนั้นโด่งดังเกือบเท่าเพลงของพวกเขา

การเสียชีวิตของ John Belushi: แม้ว่าจะเป็นที่รู้จักกันดีในฐานะนักแสดงตลก แต่การเสียชีวิตของ John Belushi จากการใช้ยาโคเคนและเฮโรอีนเกินขนาดในปี 1982 ทำให้โลกบันเทิงตกตะลึง มันเป็นสัญญาณเตือนที่เน้นให้เห็นถึงอันตรายของการใช้ยาเสพติดอย่างแพร่หลายในวงการบันเทิง รวมถึงวงการดนตรี

การเปลี่ยนแปลงไปสู่การบำบัด: ทศวรรษ 1980 ยังเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม โดยมีศิลปินจำนวนมากขึ้นเข้ารับการบำบัดและพูดคุยเกี่ยวกับปัญหาของพวกเขาอย่างเปิดเผย นี่คือจุดเริ่มต้นของการสนทนาที่เปิดกว้างมากขึ้นเกี่ยวกับการเสพติด แม้ว่าความอัปยศรอบๆ ตัวมันจะยังคงอยู่

แฟ้มภาพ Facebook @Nirvana
แฟ้มภาพ Facebook @Nirvana

ทศวรรษ 1990: กรันจ์, เฮโรอีน และการต่อสู้ของวงการอัลเทอร์เนทีฟ

ทศวรรษ 1990 นำมาซึ่งดนตรีแนวที่มืดมนและครุ่นคิดมากขึ้นด้วยการเติบโตของเพลงกรันจ์และอัลเทอร์เนทีฟร็อก วงดนตรีอย่าง Nirvana, Alice in Chains และ Stone Temple Pilots ไม่เพียงแต่เป็นที่รู้จักจากเพลงของพวกเขาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงธีมที่มืดมนของภาวะซึมเศร้า ความโดดเดี่ยว และการเสพติดที่แทรกซึมอยู่ในเนื้อเพลงของพวกเขา เฮโรอีนกลายเป็นปัญหาใหญ่ คร่าชีวิตนักดนตรีที่เป็นสัญลักษณ์หลายคน

บุคคลสำคัญและแนวโน้ม :

เลย์น สเตลีย์ (Layne Staley) : นักร้องนำของ Alice in Chains ต้องต่อสู้กับการติดเฮโรอีนมาตลอดอาชีพของเขา การเสียชีวิตของเขาในปี 2002 เป็นเครื่องเตือนใจที่น่าเศร้าถึงผลกระทบที่ร้ายแรงของการเสพติด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวงการกรันจ์

ฮิปฮอป (Hip-Hop) กับการใช้สารเสพติด : ในขณะที่วงการกรันจ์กำลังต่อสู้กับเฮโรอีน วงการฮิปฮอปเริ่มที่จะกล่าวถึงประเด็นการใช้สารเสพติดในรูปแบบที่แตกต่างออกไป ศิลปินอย่าง Tupac Shakur และ The Notorious B.I.G. เขียนเกี่ยวกับความเป็นจริงของชีวิตบนท้องถนน รวมถึงผลกระทบของการค้ายาและการใช้ยาเสพติด โดยนำเสนอมุมมองที่ดิบและไม่ผ่านการกรองเกี่ยวกับการเสพติด

ปี 2000 ถึงปัจจุบัน : ยาตามใบสั่งแพทย์, วิกฤตการณ์โอปิออยด์ และการเรียกร้องให้เลิกยา

บุคคลสำคัญและแนวโน้ม :

เอ็มมิเน็ม (Eminem) : การติดยาตามใบสั่งแพทย์ของแร็ปเปอร์เกือบจะทำให้อาชีพของเขาสิ้นสุดลง การเปิดเผยเกี่ยวกับความยากลำบากและการฟื้นตัวในภายหลังของเขาเป็นแรงบันดาลใจให้กับแฟนๆ ทั่วโลก การเดินทางของ Eminem เน้นให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงในวงการที่หันมายอมรับและสนับสนุนศิลปินที่กำลังฟื้นตัว

แม็ค มิลเลอร์ (Mac Miller) : การเสียชีวิตในปี 2018 เนื่องจากการใช้ยาเฟนทานิล โคเคน และแอลกอฮอล์เกินขนาดโดยไม่ได้ตั้งใจ เป็นเครื่องเตือนใจที่น่าเศร้าถึงอันตรายของยาโอปิออยด์และปัญหาการเสพติดยาเสพติดที่แพร่หลายในวงการดนตรีในปัจจุบัน

ภาพ Unsplash @domjewel
ภาพ Unsplash @domjewel

เรื่องนี้ต้องมีอะไรมากกว่าที่เราคิด

ส่วนผสมที่ลงตัว ศิลปินดนตรีกับสารเสพติด ***อ้างอิงข้อมูลจาก : American Addiction Centers (AAC) เครือข่ายการบำบัดการติดยาเสพติดที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในเมืองเบรนท์วูด รัฐเทนเนสซี

ลองเจาะลึกเบื้องหลังกับ The Future Muse ในบทความที่ตอบคำถามว่า ทำไมนักดนตรีถึงใช้ยาเสพติด?

บทความแสดงความคิดเห็นนี้เสนอแนะหลายประการ ซึ่งทั้งหมดเกี่ยวข้องกับ “ความเปราะบาง” ของการอยู่ในวงการดนตรี อาชีพนักดนตรีมาพร้อมกับความท้าทายนานัปการ ตั้งแต่ “เรื่องศิลปะ” ไปจนถึงเรื่องส่วนตัวและการเงิน สิ่งเหล่านี้อาจเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการใช้สารเสพติดด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้

  • ช่วยจัดการกับอารมณ์ – อาชีพนักดนตรีเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ความสำเร็จไม่ได้นำไปสู่ความสำเร็จอื่นๆ เสมอไป อาจเกิดภาวะตกต่ำได้ทุกเมื่อ ผู้ที่ต้องเผชิญกับความกังวลที่ไม่หยุดหย่อนเหล่านี้รับมือกับมันอย่างไร? พวกเขาอาจหันไปพึ่งแอลกอฮอล์และยาเสพติดเพื่อดับเสียงในหัว สารเหล่านี้อาจช่วยให้สิ่งรบกวนใจเหล่านี้สงบลงได้ชั่วคราว อย่างไรก็ตาม ยิ่งพวกเขาใช้มันบ่อยเท่าไหร่ พวกเขาก็ยิ่งมีแนวโน้มที่จะติดมากขึ้นเท่านั้น
  • เข้าพวกกับผู้อื่น – เช่นเดียวกับพวกเราส่วนใหญ่ นักดนตรีปรารถนาที่จะได้รับการยอมรับจากผู้คนรอบข้าง ในแวดวงเหล่านี้ นั่นอาจหมายถึงการเข้าหายาเสพติดและแอลกอฮอล์เหมือนกับเพื่อนร่วมอาชีพคนอื่นๆ หากบุคคลที่เป็นแบบอย่างในธุรกิจนี้หรือผู้มีอิทธิพลใช้สารเสพติด มันจะสร้างแรงดึงดูดอย่างมากให้ทำตาม นอกจากนี้ยังมีปัจจัย FOMO – กลัวพลาด – ที่เกิดขึ้นเมื่อการใช้สารเสพติดเป็นเรื่องปกติ
  • กระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ – ในโลกดนตรีมีความเชื่อว่าการใช้สารเสพติดจะช่วยเพิ่มพูนสัญชาตญาณในการสร้างสรรค์ นั่นเป็นเรื่องจริงหรือ? แม้ว่าแนวคิดนี้จะมีอยู่จริงและบางคนยึดมั่นและปฏิบัติตาม แต่บทความนี้ระบุว่าเป็น “ความเชื่อที่ผิด” แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เนื้อหากลับสนับสนุนว่า “สิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตสร้างสรรค์ของคุณคือความสม่ำเสมอ” ยิ่งไปกว่านั้น หากยาเสพติดหรือแอลกอฮอล์มีส่วนช่วยในการสร้างแรงบันดาลใจ ก็ยังมีข้อเสียที่อันตรายตามมา
ภาพ Unsplash @adkorte
ภาพ Unsplash @adkorte

ความคิดอื่นๆ : ความเชื่อมโยงระหว่างนักดนตรีกับการเสพติด

“ทำไมนักดนตรีจำนวนมากถึงติดยาเสพติด?” นั่นคือคำถามที่ Thought Catalog หยิบยกมาพิจารณาโดยปรึกษาหารือกับนักดนตรีหลายคนที่เคยมีประสบการณ์โดยตรง ออซซี ออสบอร์น (Ozzy Osbourne) เป็นหนึ่งในนั้นและเพื่ออธิบาย เขาได้รวมแอลกอฮอล์ไว้ในหมวดหมู่โดยรวม บทความนี้ระบุความเป็นไปได้ 8 ประการ ดังนี้

  1. สภาพแวดล้อม – นักดนตรีจำนวนมากหารายได้จากการแสดงในคลับ สถานที่เหล่านี้และผู้ที่มาใช้บริการเป็นเหมือนพายุที่สมบูรณ์แบบสำหรับการดื่มด่ำ
  2. เงิน เงิน เงิน เงิน – นักดนตรีที่มีชื่อเสียงจะทำเงินได้มากมาย พวกเขามีทรัพยากรและเงินเหลือเฟือ และพวกเขาสามารถใช้มันได้ตามใจชอบ
  3. เป้าหมายของสารเสพติด – ผู้ค้ายาเสพติดมุ่งเป้าไปที่นักดนตรีด้วยเหตุผลหลายประการ พวกเขามีเงินซื้อสินค้า รวมถึงมีเพื่อนและคอนเน็กชั่นมากมาย
  4. ความไม่ประสีประสา – นักดนตรีจำนวนมากยังเด็ก พวกเขาอาจไม่มีประสบการณ์หรือไม่ใช้ดุลยพินิจที่ดีที่สุด พวกเขาอาจทดลองและใช้จ่ายเงินอย่างประมาท
  5. การมองข้าม – ชื่อเสียงและโชคลาภทำให้นักดนตรีได้รับการยกเว้นในหลายกรณี คนรอบข้างปล่อยปละละเลย ไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขาอาจกำลังทำอยู่
  6. ออกทัวร์อีกแล้ว – นักดนตรีมักใช้ชีวิตเหมือนคนพเนจร เดินทางอยู่ตลอดเวลาเพื่อไปแสดงคอนเสิร์ต วิถีชีวิตแบบนี้ส่งเสริมความไม่มั่นคงและเปิดโอกาสมากมายสำหรับการใช้สารเสพติด
  7. ตามสบาย – พวกเขาจำเป็นต้องอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์แบบเพื่อแสดงตลอดเวลาหรือไม่? ไม่จำเป็นเสมอไปสำหรับนักดนตรี การขาดความเข้มงวดนี้เปิดโอกาสให้ใช้สารเสพติด
  8. ทำกับผู้อื่นอย่างไร ก็จะได้รับการปฏิบัติเช่นนั้น – ประเด็นนี้คล้ายกับประเด็นที่กล่าวถึงก่อนหน้านี้เกี่ยวกับการเข้ากับเพื่อนร่วมงานที่อาจเป็นผู้ใช้ นักดนตรีต้องการได้รับการยอมรับ

ทั้งนี้ รายงานของ American Addiction Centers อัปเดตเมื่อ 26 ก.ย.2024 ระบุ การใช้สารเสพติดและการเสพติดในวงการดนตรีไม่ใช่เรื่องบังเอิญ มีอัตราการเกิดขึ้นโดยประมาณอยู่ที่ 11-12 เปอร์เซ็นต์ โดยการบำบัดการเสพติดหลายปีก่อนของเอเอซี (AAC) ได้บริจาคเงินให้กับ MusiCares เครือข่ายสถานบำบัดทั่วประเทศซึ่งเสนอการบำบัด “ผู้ป่วยใน” เป็นเวลา 30 วัน ให้กับนักดนตรี 12 คน ที่ไม่มีประกันและไม่สามารถแบกรับค่าใช้จ่ายเองได้.

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Pachara

นักเขียนประจำที่ Thaiger จบการศึกษาด้านศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา เคยผ่านประสบการณ์ผู้สื่อข่าวกีฬา เริ่มเขียนบทความกับ Thaiger ตั้งแต่ปี 2021 วิ่งกับการอ่านหนังสือ คือ กิจกรรมที่สนใจเป็นพิเศษ ช่องทางติดต่อ pachara@thethaiger.com

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to top button