ศาลสั่งคุก “กฤษณ์ ณรงค์เดช” 44 เดือนไม่รออาญา ยักยอกทรัพย์ 35 ล้าน

ศาลพิพากษาจำคุก นายกฤษณ์ ณรงค์เดช 44 เดือน ไม่รอลงอาญา คดียักยอกทรัพย์ น้องชาย มูลค่า 35 ล้านบาท ชี้พฤติการณ์ลักษณะเดิม-หลักฐานชัดเจน
วันนี้ (19 มี.ค.) ศาลแขวงพระนครใต้ นัดอ่านคำพิพากษาคดี อ.1662/2566 ระหว่างนายณพ ณรงค์เดช เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายกฤษณ์ ณรงค์เดช บริษัท ซีบีเอ็นพี จำกัด เเละกรรมการทำการบริษัท เป็นจำเลยที่ 1-3 ในความผิดฐานยักยอกทรัพย์ มูลค่าประมาณ 35 ล้านบาท
คำฟ้องโจทย์ระบุว่า คุณหญิงพรทิพย์ ณรงค์เดช มารดาของโจทก์ขณะมีชีวิตอยู่ได้มีการนำที่ดินและสิ่งปลูกสร้างบริเวณตำบลศีรษะจรเข้ใหญ่ กิ่งอำเภอบางเสาธง จังหวัด สมุทรปราการ ออกให้บุคคลภายนอกเช่า รวมถึงได้ให้บริษัท โทลล์ โลจิสติก จำกัด เช่า โดยได้รับค่าเช่า หลังจากที่คุณหญิงพรทิพย์ ณรงค์เดช ถึงแก่อนิจกรรมแล้ว เมื่อวันที่ 15 ก.พ. 59
ต่อมา จำเลยที่1 โจทก์ และนายกรณ์ ณรงค์เดช เข้าเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมในที่ดินผืนดังกล่าว จำเลยที่ 1 ไม่เคยทำบัญชีทรัพย์มรดกและไม่นำเงินส่วนแบ่งค่าเช่าและค่าเช่าช่วงมอบให้โจทก์ตามสิทธิทั้งในฐานะทายาทและในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมในที่ดินข้างต้น โดยโจทก์ได้มอบหมายให้ทนายความมีหนังสือบอกกล่าวทวงถามให้จำเลยที่ 1 จัดทำบัญชีทรัพย์มรดก และแบ่งปันทรัพย์มรดกให้เสร็จสิ้นแต่จำเลยที่1 เพิกเฉย
ทั้งนี้ จำเลยที่ 1 เจตนาเบียดบังเอาค่าเช่าและค่าเช่าช่วงที่โจทก์มีสิทธิได้รับเป็นของตนและบุคคลอื่นโดยทุจริตโดยโจทก์มิได้ยินยอม ทั้งนี้จำเลยที่ 2-3 ต่างก็ทราบข้อเท็จจริงดังกล่าวเป็นอย่างดีแต่ก็ยังสมคบกับจำเลยที่ 1 ไม่ส่งมอบเงินตามสิทธิที่โจทก์มีสิทธิได้รับให้แก่โจทก์ จำเลยทั้งสามมีเจตนาทุจริตยักยอกทรัพย์คือเงินค่าเช่า โจทก์รวมเเล้วหลายครั้งเป็นเงินกว่า 35 ล้านบาท และขอให้นับโทษต่อจากคดีในศาลนี้ที่เคยพิพากศาลงโทษจำคุกไม่รอลงอาญาไว้ 12 เดือน
อย่างไรก็ดี ศาลไม่อนุญาตให้สื่อมวลชนเข้าฟังผลการตัดสิน แต่มีรายงานในภายหลังว่า ศาลมีคำพิพากษาสั่งจำคุกนายกฤษณ์ ณรงค์เดช 44 เดือน ไม่รอลงอาญา โดยจำเลย ได้รับการปล่อยชั่วคราวในวงเงิน 400,000 บาท

ขณะที่ “ณพ” โจทก์ยื่นฟ้อง กล่าวหลังมีคำพิพากษาว่า คดีนี้ยื่นฟ้องพี่ชาย (นายกฤษณ์) เพราะมีที่ดินแปลงหนึ่งที่เป็นทรัพย์สินของมารดานั้น ถูกนำไปให้เช่าโดยไม่มีการแจ้งตน ไม่เคยแบ่งรายได้ให้ทั้งที่ตนมีส่วนอยู่ด้วย ก่อนหน้านี้เคยื่นฟ้องไปแล้ว 1 คดีที่ศาลแขวงกรุงเทพใต้จากมูลเหตุลักษณะเดียวกัน ซึ่งคดีนี้ศาลพิพากษาจำคุก 12 เดือนแล้ว และตอนนี้อยู่ระหว่างยื่นอุทธรณ์
ส่วนกรณีข้างต้นนับเป็นคดีที่ 2 ที่ยื่นฟ้องพี่ชายในคดียักยอกทรัพย์ ซึ่งมูลค่าสูงกว่าคดีแรก สาเหตุที่ศาลสั่งจำคุกไม่รอลงอาญานั้น เนื่องจากจำเลยยังมีพฤติการณ์ลักษณะเดิมและหลักฐานค่อนข้างชัดเจน และคดีนี้มีการกระทำผิด 11 กรรม ลงโทษจำคุกกรรมละ 4 เดือน
ทั้งนี้ตนมีเรื่องฟ้องร้องเกี่ยวกับมรดกตั้งแต่ปี 2561 หลังมารดาซึ่งเป็นเจ้าของมรดกเสียชีวิตไป เนื่องจากมรดกส่วนนี้ยังไม่มีการจัดแบ่งให้เรียบร้อยทั้งที่มารดาระบุรายละเอียดไว้แล้วอย่างชัดเจน ไม่มีการจัดแบ่งไว้ตามเจตนารมณ์ของมารดา แม้ศาลอุทธรณ์จะมีคำสั่งให้ตนเข้าเป็นผู้จัดการมรดกร่วมแล้วก็ตาม แต่กลับไม่สามารถจัดการได้เพราะไม่ได้รับความร่วมมือในการจัดทำรายการบัญชีทรัพย์สิน

นายณพ ยืนยันว่าที่ผ่านมามีการพูดคุยเจรจาเกี่ยวกับเรื่องมรดกกับนายกฤษณ์ และผู้ใหญ่ที่ตนนับถือหลายครั้ง แต่ไม่สามารถพูดคุยกันได้ เพราะจะต้องอยู่บนพื้นฐานของหลักการและข้อเท็จจริง และเมื่อถามว่าจากนี้จะดำเนินการเกี่ยวกับการจัดการมรดกอย่างไรนั้น นายณพ ระบุว่า ก็ต้องให้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรมอย่างที่มารดา ระบุไว้ในพินัยกรรมชัดเจนว่า ทรัพย์สินบางส่วนมอบให้เป็นของลูกของตน
ส่วนประเด็นสื่อนำเสนอเรื่องการเสนอเงิน 100 ล้านบาทเกี่ยวกับเรื่องคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวทรัพย์กว่า 3 พันล้านนั้น เมื่อ 3 ปีก่อน ตนได้ร้องเรียนอธิบดีผู้พิพากษาและรองอธิบดีผู้พิพากษาศาลแห่งหนึ่งต่อ คณะกรรมการตุลาการ (ก.ต.) มาจากกระบวนพิจารณาที่ไม่ตรงไปตรงมา
รวมถึงก่อนหน้านี้มีหลักฐานว่า อธิบดีผู้พิพากษาดังกล่าว ได้มีการเดินเข้าออกบ้านพี่กับน้องซึ่งเป็นคู่ความของตนจำนวนหลายครั้ง ต่อมาตนและทนายความจึงรู้สึกว่ากระบวนพิจารณาไม่ได้รับความเป็นธรรม เช่น มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวเกินส่วน มีการอายัดหุ้นมากกว่าที่โจทก์ฟ้องซึ่งไม่มีข้อกฎหมายใด ๆ รองรับก็ให้
อีกทั้งมีการเปลี่ยนตัวรองอธิบดีผู้พิพากษาที่โดนตนร้องคนดังกล่าวมาเป็นเจ้าของสำนวนตนเกือบทุกคดี จนเราร้องเรียนคณะกรรมการตุลาการไป จึงมีการเปลี่ยนตัวผู้พิพากษา จากนั้นจะมีการพิพากษาให้ตนชนะคดี ทว่านานมากกว่า 2 ปี จนปัจจุบันเงินปันผลกว่า 3.4 พันบ้านบาท ก็ยังถูกอายัดอยู่ คำสั่งคุ้มครองชั่วคราวทำความเดือดร้อนให้กับตนมหาศาลมาก เนื่องจากต้องดูแลธุรกิจและลูกน้อง ทำให้เกิดโอกาสทำธุรกิจเสียหาย
อย่างไรก็ดี คดีนี้อยู่ระหว่างอุทธรณ์ แต่คำสั่งอายัดกลับมาจากศาลชั้นต้น จึงสับสนว่าคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวเป็นอำนาจของศาลไหนกันแน่ ซึ่งทีมกฎหมายของตนกำลังดำเนินการเรื่องนี้อยู่

ส่วนผลการร้องเรียน ก.ต.ที่ปรากฏเป็นข่าวนั้น หากเป็นเรื่องจริง ต้องขอขอบคุณ ก.ต. ที่มีมติตั้งกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง แต่เรื่องข้อเท็จจริงนั้นไม่ทราบเป็นอย่างไร ขณะที่เรื่อง 100 ล้านบาทนั้น พอได้ทราบข่าวก็ตกใจเพราะเป็นข้อเท็จจริงที่ไม่เคยรู้มาก่อน ซึ่งมาจากผลการประชุมคณะกรรมการตุลาการครั้งที่ผ่านมา ตอนนี้ก็คงต้องรอ
หากถามว่าเงิน 100 ล้านบาทของใคร นายณพ กล่าวว่า ตนเป็นผู้ร้องและได้รับความเสียหาย จึงต้องการทราบว่าเงินมาจากไหน บริษัทมหาชนหรือกองมรดก เพราะคดีนี้มีบุคคลที่เกี่ยวข้อง 3 คนเท่านั้นคือตน พี่ชาย และน้องชาย ยืนยันว่าไม่ได้เป็นคนให้แน่นอน คงต้องไปถาม 2 คนนั้น
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
- ศาลสั่งจำคุก 3 หัวขโมย ฉก “ส้วมทองคำ” มูลค่ากว่า 210 ล้าน ก่อนแยกชิ้นส่วนขาย
- จำคุก 4 ปี ไม่รอลงอาญา มือเผาป่าพิษณุโลก เจอค่าปรับอ่วม 133 ล้าน
- จำคุก อนุสรณ์ นาคาศัย อดีตนายกอบจ.ชัยนาท 46 ปี 60 เดือน เซ่นคดีทุจริต