ข่าว

ทบ. สั่งจำขัง สิบเวร 45 วัน เซ่นปม ลงโทษเกินกว่าเหตุ ทำพลทหารเจ็บหนักเข้ารพ.

กองทัพบก ยอมรับผิดจริง สั่งจำยังสิบเวร 45 วัน และผบ.ร้อย 7 วัน เซ่นปม ลงโทษเกินกว่าเหตุ ทำพลทหารค่ายลพบุรีบาดเจ็บจนต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล

ความคืบหน้ากรณีพลทนาย ในค่ายจ.ลพบุรี ถูกสิบเวรลงโทษกลางดึกจนได้รับบาดเจ็บ และพลทหารบางนายต้องเข้า ICU ล่าสุด (5 ต.ค. 67) กองทัพบก ได้ออกแถลงการณ์ลงโทษสิบเวรด้วยการสั่งจำขัง 45 วัน ฐานลงโทษเกินกว่าเหตุ และลงโทษ ผบ.ร้อย ฐานละเลยการกำกับดูแล

Advertisements

“จากกรณีที่มีการเผยแพร่ภาพและข้อความการลงโทษทหารกองประจําการจนมีอาการบาดเจ็บ และบางนายต้องเข้ารับการรับการรักษาในโรงพยาบาล พร้อมระบุเป็นหน่วยทหารในพื้นที่ จ.ลพบุรี นั้น กองทัพบกได้ตรวจสอบพบว่ามีเหตุการณ์ดังกล่าวจริง และได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนแล้ว โดยเหตุเกิดเมื่อ วันที่ 1 และ 2 ต.ค.67 เป็นการลงโทษทหารกองประจําการ โดยมีเจ้าหน้าที่สิบเวรของหน่วยเป็นผู้สั่งลงโทษ สาเหตุจากความผิดที่ทหารกองประจําการได้ลักลอบดื่มน้ําใบกระท่อม และตรวจพบสารเสพติดในปัสสาวะ

ซึ่งสิบเวรดังกล่าวได้ยอมรับว่ามีการลงโทษเกินกว่าเหตุจริง ทําให้ทหารกองประจําการ 1 นาย ได้รับบาดเจ็บที่บริเวณหลัง จึงได้ส่งเข้ารับการรักษาที่หมวดเสนารักษ์ของหน่วย และในระหว่างการลงโทษ ทหารกองประจําการ 2 นาย มีอาการหน้ามืดเป็นลม จึงได้นําส่งห้องฉุกเฉินในโรงพยาบาลค่ายทหารของหน่วย หลังจากแพทย์ตรวจรักษาและพักดูอาการจนหายเป็นปกติแล้ว จึงได้ส่งตัวกลับหน่วยในวันเดียวกัน

จากผลการสอบสวนคณะกรรมการของหน่วยได้พิจารณาลงโทษจําขังสิบเวรที่กระทําความผิด เป็นเวลา 45 วัน ฐานไม่ปฏิบัติตามระเบียบการลงทัณฑ์ ซึ่งขัดคําสั่งของผู้บังคับบัญชาอย่างร้ายแรง พร้อมทั้ง ลงโทษกักบริเวณผู้บังคับกองร้อย 7 วัน ฐานละเลยการกํากับดูแลผู้ใต้บังคับบัญชา ทั้งนี้หน่วยได้ติดต่อพูดคุย ชี้แจงข้อเท็จจริงให้กับญาติของทหารกองประการให้รับทราบ และอํานวยความสะดวกในกรณีที่มีความ ประสงค์จะดําเนินคดีความตามกฎหมายต่อไป”

ทบ. รับผิดจริง สิบเวรค่ายลพบุรี ลงโทษทหารเกินกว่าเหตุ จนต้องส่งรพ. สั่งจำขัง 45 วัน

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

Advertisements

GIFT T.

Rewriter สาวจากรั้วสวนดุสิต เก็บเกี่ยวประสบการณ์งานข่าวมากว่า 5 ปี ชื่นชอบการส่งต่อเรื่องราวเกี่ยวกับ ไลฟ์สไตล์ หวย และข่าวบันเทิง พร้อมเปิดมุมมองใหม่ ๆ ให้นักอ่านได้เห็นประเด็นรอบด้านมากยิ่งขึ้น

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to top button