‘อาจารย์เจษฎา’ แจง กระดาษทิชชู่ ไม่ได้ทำให้เป็นมะเร็งปากมดลูก
‘อาจารย์เจษฎ์’ ชี้แจง กระดาษทิชชู่ ไม่ได้ทำให้เป็นมะเร็งปากมดลูก ทั้งยังไม่ส่งผลให้ติดเชื้อ HPV แก้ไขความเข้าใจให้เพศหญิง หลังสำนักข่าวเวียดนามเผยแพร่ข้อมูลบิดเบือน
จากกรณีทีในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ทางสำนักข่าวเวียดนาม docnhanh.vn นำเสนอเรื่องราวของหญิงสาววัย 20 ปี รายหนึ่งที่จู่ ๆ ก็มีอาการปวดท้องประจำเดือนอย่างรุนแรง ทั้งยังมีเลือดประจำเดือนไหลมากผิดปกติ ซึ่งผลการวินิจฉัยของแพทย์ก็ได้ระบุว่า เธอมีอาการติดเชื้อ HPV และมีโอกาสจะป่วยเป็นมะเร็งปากมดลูกได้ สาเหตุของการป่วยในครั้งนี้ก็คือ “กระดาษทิชชู่สี” ที่เธอมักจะนำมาใช้กับอวัยวะเป็นประจำ หลังการเข้าห้องน้ำ เหตุเพราะกระดาษชำระมีสารฟอกขาว สารแต่งสี และน้ำหอมสังเคราะห์ อันจะส่งผลเสียต่อสุขภาพ
วันนี้ (23 กุมภาพันธ์ 2567) อาจารย์เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ข้อความ ชี้แจงความจริง ลงบนเพจเฟซบุ๊ก อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง by อาจารย์เจษฎ์ ถึงกรณีการใช้ทิชชู่สีจนทำให้เป็นมะเร็งปากมดลูกว่า “ไม่เป็นความจริง”
ด้านอาจารย์เจษฎา ได้อธิบายว่า มะเร็งปากมดลูกมักเกิดจาก “เชื้อไวรัส HPV” ไม่ใช่เชื้อรา ซึ่งการใช้กระดาษทิชชู่ซับภายนอก หลังเข้าห้องน้ำก็ไม่ได้นำพาเชื้อไวรัสเข้าไปในช่องคลอด เข้าไปถึงปากมดลูกได้ แต่ถึงอย่างนั้นการใช้กระดาษทิชชู่สีขาวที่สะอาดปลอดภัย และได้มาตรฐาน ก็นับว่าเป็นการดีที่สุด พร้อมทิ้งท้ายด้วยผลการศึกษาจากกรมวิทยาศาสตร์บริการ (วศ.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ที่ระบุไว้ว่า ปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานที่ยืนยันได้แน่ชัดว่า การใช้กระดาษทิชชูเช็ดทำความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์เป็นประจำ ทำให้เกิดโรคมะเร็งในมนุษย์
“เรื่อง “มะเร็งปากมดลูก เกิดจากการใช้ทิชชูซับหลังจากเสร็จกิจในห้องน้ำเป็นเวลานานๆ อาจก่อให้เกิดมะเร็งปากมดลูกได้” เนี่ย นับว่าเป็นข่าวปลอม เป็น forward mail มั่ว หลอกกันมานานเป็น 10 ปีแล้วครับ ! โดยมักจะอ้างว่า ” มะเร็งปากมดลูก ไม่จำเป็นต้องมีเพศสัมพันธ์ แต่เกิดได้จากการใช้ทิชชูในเวลาทำกิจวัตร จะเกิดจากเป็นเชื้อราเล็กๆ และขยายวงกว้างจนกลายเป็นมะเร็งร้าย” !?
ซึ่งจะเห็นจุดจับผิดได้ไม่ยาก เพราะมะเร็งปากมดลูกนั้น มักเกิดจาก “เชื้อไวรัส HPV” ไม่ใช่เชื้อรา และการใช้กระดาษทิชชู่ซับภายนอก หลังเข้าห้องน้ำ ก็ไม่ได้จะนำพาเชื้อไวรัสเข้าไปในช่องคลอด เข้าไปถึงปากมดลูกได้ … เพียงแต่ว่า ก็ควรจะเลือกใช้กระดาษทิชชู่ที่คุณภาพดี ผลิตได้มาตรฐาน ไม่มีสารฟอกขาว แห้งสะอาด และใช้ซับอย่างถูกวิธี (หลีกเลี่ยงการเช็ดจากด้านหลัง มาด้านหน้า) เพื่อสุขภาพที่ดี ของบริเวณอวัยวะเพศอยู่แล้วครับ
ล่าสุด มีการนำเสนอข่าวทำนองนี้อีกครั้ง โดยอ้างว่า มีสาวจีนวัย 20 ปีป่วยเป็นมะเร็งปากมดลูก และแพทย์บอกว่า การที่เธอใช้ “กระดาษทิชชู่สี” นั้นเป็นสาเหตุ !?
ข่าวที่เผยแพร่กันอยู่ตอนนี้ จริงๆ แล้วเอามาจากบทความบนเว็บไซต์หนึ่ง ของเวียดนาม (ชื่อ docnhanh.vn ดูลิงค์ด้านล่าง) ซึ่งพูดถึงเรื่องของนางสาว Xiao Yu นักศึกษาวัย 20 ปี จากมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในประเทศจีน ที่มีอาการปวดท้องอย่างรุนแรงในช่วงที่เป็นประจำเดือน ซ้ำมีเลือดประจำเดือนไหลออกมามากผิดปกติ จึงถูกนำตัวเธอส่งโรงพยาบาล หลังเข้ารับการตรวจ แพทย์วินิจฉัยว่าเธอติดเชื้อไวรัส เอชพีวี (human papilloma virus) อาจนำไปสู่การเป็นมะเร็งปากมดลูกระยะแรกได้ (คือ ยังไม่ได้เป็นนะ แค่ติดเชื้อ แต่ข่าวไปพาดหัวกันว่าเธอเป็นมะเร็ง)
แล้วตามบทความนี้ อ้างว่าแพทย์ซักประวัติของเธอ พบว่าเธอมักจะใช้กระดาษชำระกับอวัยวะเพศของเธอ และเป็นชนิดที่มีสีสันและมีกลิ่นหอม จึงแนะนำว่ากระดาษชำระที่มีสารเคมี เช่น สารฟอกขาว สารแต่งสี และน้ำหอมสังเคราะห์ และมีแบคทีเรียสะสมอยู่จำนวนมาก อาจก่อให้เกิดผลเสียต่อร่างกายได้ ก่อให้เกิดการติดเชื้อกับผู้หญิงที่ใช้กระดาษชำระเช็ดอวัยวะสืบพันธุ์ของตัวเองอยู่เป็นประจำ เพิ่มความเสี่ยงให้สารเคมีเข้าสู่ร่างกาย และทำให้ติดเชื้อไวรัส HPV จนป่วยเป็นมะเร็งปากมดลูก !?
ซึ่งจริงๆ แล้ว จะเห็นว่าเรื่องราวดังกล่าวนี้ เป็นเพียงแค่เรื่องเล่าบนเว็บไซต์ ไม่ได้เป็นรายงานข่าวที่มีแหล่งข้อมูลอ้างอิงได้แต่อย่างไร จึงไม่ได้น่าเชื่อถือครับ ! แม้แต่รูปคนไข้สาวจีนที่มาประกอบบทความ ก็ไม่ได้มีที่มาชัดเจนว่ามาจากไหน จริงเท็จหรือไม่
ในทางการแพทย์นั้น การใช้กระดาษทิชชูเช็ดหลังเข้าห้องน้ำ ไม่ได้นับว่าทำให้เกิดความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งปากมดลูก เพราะการที่จะเป็นมะเร็งปากมดลูก จะต้องได้รับเชื้อไวรัส HPV เข้าไปภายในร่างกายเสียก่อน และถึงแม้ว่าจะมีเชื้อ HPV บังเอิญปนเปื้อนอยู่บนกระดาษทิชชู มันก็จะสัมผัสได้แค่ภายนอกร่างกายเท่านั้น ไม่ใช่ไปภายในช่องคลอด ถึงปากมดลูกได้
สำหรับเรื่อง “ให้ระวังการใช้กระดาษทิชชูในห้องน้ำ อาจมีเชื้อราปนเปื้อน เป็นสาเหตุทำให้เกิดมะเร็งปากมดลูกได้ ” นี้ ทางศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์ สำนักข่าวไทย ได้เคยทำรายการเตือนไว้นานแล้วว่า เป็นเรื่องไม่จริง ไม่ควรแชร์ต่อ ! ครับ (ดู https://tna.mcot.net/tna-339994)
โดยทางรายการได้ไปสอบถาม พ.ต.ต. ภาคภูมิ เตชะขะวนิชกุล นายแพทย์หน่วยมะเร็งนรีเวช โรงพยาบาลตำรวจ ว่า “ทิชชูเป็นสาเหตุของมะเร็งปากมดลูก จริงหรือไม่? ได้รับคำตอบว่า ทิชชู่อาจจะมีการปนเปื้อนของสิ่งสกปรกบางชนิดได้ ยกตัวอย่างเช่น แบคทีเรียหรือเชื้อรา แต่เชื้อแบคทีเรียและเชื้อราก็ไม่ได้เป็นสาเหตุของมะเร็งปากมดลูก
เชื้อราหรือเชื้อแบคทีเรียก็เป็นสาเหตุของอาการระคายเคือง อาจจะทำให้เกิดภาวะตกขาวผิดปรกติ หรือภาวะตกขาวผิดปรกติเรื้อรัง หรืออาการคันได้ แต่ว่าไม่ได้เป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็งปากมดลูก
สาเหตุของมะเร็งปากมดลูก เกือบ 100% เกิดจากการติดเชื้อ HPV หรือว่า human papilloma virus มีสายพันธุ์ทั้งชนิดที่ไม่รุนแรงซึ่งทำให้เกิดหูดได้ ที่เราอาจจะทราบกันดี คือ สายพันธุ์ที่ 6 และ 11 ส่วนสายพันธุ์ชนิดที่รุนแรง หรือที่เรียกว่า high-risk HPV คือสายพันธุ์ที่ 16 และ 18 ซึ่งสองสายพันธุ์คือสาเหตุหลักที่ก่อให้เกิดมะเร็งปากมดลูก
เราคงบอกไม่ได้ว่ามีเชื้อ HPV อยู่ที่บริเวณทิชชูหรือเปล่า แต่ว่าถ้าเราไม่มีตัวนำเข้าไป โอกาสที่จะติดเชื้อ PHV ที่บริเวณปากมดลูกก็จะค่อนข้างน้อย ไม่ได้สัมผัสปุ๊บแล้วมันจะเป็น การใช้ทิชชูก็ยังไม่มีรายงานว่าทำให้เกิดมะเร็งปากมดลูก
การติดเชื้อ HPV คงไม่ได้ติดจากการที่เราเพียงแค่ไปสัมผัสเฉยๆ หรือว่านั่งทับเชื้อ HPV แล้วเราจะติดเชื้อ HPV มันจะต้องมีการนำเชื้อ HPV เข้าไปสู่ปากมดลูก ก็เช่น การมีเพศสัมพันธ์ หรือการใส่ผ้าอนามัยแบบสอด การติดเชื้อส่วนใหญ่แล้วมันก็จะเกิดจากการมีเพศสัมพันธ์ แต่ว่าด้วยปัจจัยอะไรหลายๆ อย่าง
ยกตัวอย่างเช่น ถ้ามีการเกิดการอักเสบที่บริเวณช่องคลอด หรือว่าการสวนล้างช่องคลอด หรือการที่เราสอดอะไรบางอย่างเข้าไปในช่องคลอด เพื่อเป็นการทำความสะอาด ก็อาจจะเป็นการนำเชื้อเข้าไปได้เหมือนกัน ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้มีเพศสัมพันธ์ รวมถึงว่าอาจจะต้องมีปัจจัยเสี่ยงบางอย่างที่อาจจะทำให้เป็นมะเร็งปากมดลูกได้ง่ายขึ้น หรือว่าเชื้อไวรัสติดอยู่ได้นานขึ้น ตัวอย่างเช่น การสูบบุหรี่ เป็นต้น
ผู้หญิงที่ติดเชื้อ HPV แล้ว ก็ไม่ได้จะเป็นมะเร็งปากมดลูกกันทุกคน ส่วนใหญ่ 70-80% เชื้อก็จะหายไปเอง แต่จะมีสัก 10-20% ที่จะยังคงติดเชื้อต่อ ซึ่งกลุ่มนี้แหละที่จะนำไปสู่การเกิดมะเร็งปากมดลูกได้ ถ้าติดเชื้อ HPV สายพันธุ์ที่มีความเสี่ยงสูง
หลังจากที่เรารับเชื้อ HPV ไม่ได้หมายความว่า รับเชื้อปุ๊บแล้วจะเป็นมะเร็งปั๊บ แต่หลังจากติดเชื้อ HPV ไป ใช้เวลาประมาณ 10-20 ปี กว่าที่จะก่อโรคขึ้นมา เพราะฉะนั้นในช่วงนี้ เราก็จะสามารถป้องกันได้ โดยวิธีที่ 1 ป้องกันในระหว่างมีเพศสัมพันธ์ เพื่อลดการสัมผัสเชื้อโรคโดยตรง วิธีที่ 2 มะเร็งปากมดลูกเป็นหนึ่งในมะเร็งไม่กี่ชนิด ที่สามารถป้องกันได้โดยการฉีดวัคซีน และ วิธีที่ 3 ตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก ถ้าเราตรวจพบความผิดปรกติตั้งแต่ต้น ก็สามารถรักษาได้ก่อนที่จะเป็นมะเร็ง
สำหรับคำแนะนำการใช้กระดาษทิชชูในห้องน้ำ เราอาจจะใช้ทิชชูที่มีความสะอาด แห้ง ถ้าเป็นทิชชูที่เปียกชื้นมานาน ก็อาจจะหลีกเลี่ยงการใช้ทิชชูนั้น หรือว่าผู้หญิงบางท่านอาจแพ้สารฟอกขาวในกระดาษทิชชูสีขาว ซึ่งก็จะมีทิชชูที่มีลักษณะเป็นสีน้ำตาลซึ่งไม่มีสารฟอกขาว อันนั้นก็จะลดอาการระคายเคืองลงได้ รวมถึงลดภาวะการตกขาวผิดปรกติ หรือตกขาวผิดปรกติเรื้อรัง ลงได้
สรุปว่า จากข้อมูลที่มีอยู่ในปัจจุบัน ไม่พบว่าการใช้ทิชชูจะเป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็งปากมดลูก
เพิ่มเติมข้อมูลล่าสุด จากทางกรมวิทยาศาสตร์บริการ (วศ.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยระบุตรงกันว่า “ปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานด้านวิทยาศาสตร์ที่ยืนยันแน่ชัดว่า การใช้กระดาษทิชชูเช็ดทำความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์เป็นประจำ ทำให้เกิดโรคมะเร็งในมนุษย์” (https://www.bangkokbiznews.com/health/well-being/1114528)
โดยทาง วศ. ได้แนะนำว่า หากต้องใช้ทิชชูทำความสะอาดร่างกายและอวัยวะสืบพันธุ์ ควรเลือกใช้กระดาษทิชชูที่ผลิตจากเยื่อบริสุทธิ์ และต้องเป็นทิชชูที่สะอาด แห้ง ไม่เปียกชื้น เพื่อป้องกันเชื้อแบคทีเรีย รา ไวรัส หรือเชื้ออื่น ๆ ที่สามารถเจริญเติบโตได้ดีในกระดาษทิชชูที่เปียก สัมผัสหรือเข้าสู่ร่างกายก่อให้โรคร้ายตามมาได้
ส่วนการใช้กระดาษทิชชูที่มีเยื่อรีไซเคิลเป็นส่วนผสม นั้นอาจมีสารเรืองแสงตกค้างอยู่ เมื่อใช้เช็ดทำความสะอาดผิว สารเรืองแสงซึ่งเป็นสารที่ละลายในน้ำได้ จะหลงเหลือสารตกค้างอยู่บนผิวหนัง อาจทำให้เกิดอาการแพ้หรือระคายเคืองในบางคน และจากการศึกษาพบว่า เมื่อสารเรืองแสงได้รับรังสีอัลตราไวโอเลต (UV) จากแสงแดด อาจเหนี่ยวนำให้เกิดสารก่อมะเร็งที่ผิวหนัง ทำให้เกิดมะเร็งที่ผิวหนังในระยะยาวได้
ประชาชนควรเลือกซื้อทิชชูที่ไม่มีเยื่อรีไซเคิลเป็นส่วนผสม โดยดูที่ฉลากที่ระบุว่าผลิตจากเยื่อบริสุทธิ์และไม่มีสารเรืองแสง แต่เนื่องจากบางยี่ห้อไม่ได้ระบุไว้ว่าทำมาจากเยื่อชนิดใด จึงมีวิธีทดสอบแบบง่ายๆ ด้วยตัวเอง คือ นำกระดาษทิชชู่จุ่มน้ำ แล้วนำมาพักทิ้งไว้สักครู่ สีบนเนื้อกระดาษทิชชูจะเปลี่ยนไป หากกระดาษทิชชู่ใดที่มีการเปลี่ยนแปลงสีของเนื้อกระดาษ จากขาวเปลี่ยนเป็นดำคล้ำ แสดงว่ากระดาษทิชชูนั่นมีส่วนผสมของเยื่อรีไซเคิล ส่วนกระดาษทิชชูที่ทำจากเยื่อกระดาษบริสุทธิ์จะไม่มีการเปลี่ยนสี
หรือหากที่บ้านมีเครื่องหรือไฟฉายที่ใช้ตรวจธนบัตรปลอม ซึ่งเครื่องเหล่านี้มีแหล่งกำหนดแสงเป็น UV ก็สามารถนำมาส่องที่กระดาษทิชชูเพื่อตรวจหาสารเรืองแสงได้ ถ้ากระดาษทิชชูมีการเติมสารเรืองลงไปก็จะเรืองแสงออกมาแสดงว่ากระดาษทิชชูนี้มีเยื่อรีไซเคิลเป็นส่วนผสม”
อย่างไรก็ดี แม้ว่า “ทิชชู่” และ “ทิชชู่สี” จะไม่ใช่สาเหตุของการติดเชื้อ HPV และไม่สามารถก่อให้เกิดมะเร็งได้ แต่การใช้ทิชชู่ที่ไม่สะอาดและไม่ได้มาตรฐาน ก็เป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงอยู่ดี เพราะกระดาษชำระเหล่านั้นสามารถก่อให้เกิดส่งผลเสียต่อร่างกาย อาทิ อาการแพ้ อาการระคายเคืองตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย
อ้างอิงจาก นพ.รุ่งเรือง กิจผาติ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์บริการ (วศ.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ที่ได้กล่าวไว้ว่า กระดาษทิชชูแบ่งออกได้เป็นหลายประเภทตามประโยชน์ใช้สอย ได้แก่ กระดาษชำระ กระดาษเช็ดหน้า กระดาษเช็ดปาก กระดาษเช็ดมือ และกระดาษเช็ดอเนกประสงค์ ซึ่งมีทั้งที่ผลิตจากเยื่อกระดาษบริสุทธิ์ (เยื่อกระดาษจากต้นไม้) และจากเยื่อรีไซเคิล โดยกระดาษทิชชูที่มีเยื่อรีไซเคิลเป็นส่วนผสม จะทำมาจากจากกระดาษที่ใช้งานแล้ว นำมาถูกให้ความร้อน ผ่านขั้นตอนการกำจัดหมึก (Deinking) และขึ้นรูปใหม่ ด้วยความร้อนที่สูงมาก
ทิชชูจากเยื่อรีไซเคิลจึงมีสีขาวขุ่น รวมถึงความขรุขระ ไม่ค่อยเรียบ มีคุณภาพต่ำกว่าทิชชูประเภทอื่น ราคาถูก บางชนิดมีการใส่สีสันลงไป เช่น สีชมพู สีน้ำตาล เพื่อปกปิดให้ผู้ใช้งานมองข้าม โดยทั่วไปแล้วมีสารเรืองแสงตกค้าง เพราะในขั้นตอนการกำจัดหมึกจะทำให้ความขาวสว่างของเยื่อกระดาษลดลงจึงใส่สารฟอกนวลหรือสารเพิ่มความความเข้าไป ทำให้มีสารเรืองแสงตกค้าง
ดังนั้น การเลือกใช้กระดาษทิชชูที่มีเยื่อรีไซเคิลเป็นส่วนผสมซึ่งอาจมีสารเรืองแสงตกค้างอยู่ เมื่อใช้เช็ดทำความสะอาดผิวสารเรืองแสงซึ่งเป็นสารที่ละลายในน้ำได้ จะหลงเหลือสารตกค้างอยู่บนผิวหนังอาจ ทำให้เกิดอาการแพ้หรือระคายเคือง ในบางคน และจากการศึกษาพบว่าเมื่อสารเรืองแสงได้รับรังสี อัลตราไวโอเลต (UV) จากแสงแดดอาจเหนี่ยวนำให้เกิดสารก่อมะเร็งที่ผิวหนัง ทำให้เกิดมะเร็งที่ผิวหนังในระยะยาวได้
ทั้งนี้ จึงกล่าวได้ว่าการใช้ทิชชู่สีไม่ใช้สาเหตุของการติดเชื้อไวรัส HPV และการเป็นมะเร็งปาดมดลูกแต่อย่างใด แต่การใช้ทิชชู่ที่ไม่สะอาด และไม่มีมาตรฐาน หรือไม่อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ มีส่วนทำให้เกิดอาการแพ้และการระคายเคืองได้
ข้อมูลจาก mcot, bangkokbiznews และ thebetter
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง