ประวัติ “พระมหาอุเทน” พระนักเทศน์สายวิปัสสนา จบเปรียญธรรม 9 ประโยค

รู้จัก พระมหาอุเทน ปัญญาปริทัตต์ วัดชนะสงคราม ประวัติ พระนักเขียน นักเทศน์บนโลกออนไลน์ จบเปรียญธรรม 9 ประโยค ถูกกล่าวถึงอีกครั้งหลังเกิดประเด็นร้อนวิจารณ์ แพรรี่ ไพรวัลย์ จนกลายเป็นข้อถกเถียงเรื่องความเหมาะสม
กำลังเป็นประเด็นร้อนแรงในโลกโซเชียลมีเดีย เมื่อ พระมหาอุเทน ปัญญาปริทัตต์ พระนักเทศน์ชื่อดัง ได้ออกมาวิจารณ์ แพรรี่-ไพรวัลย์ วรรณบุตร ด้วยถ้อยคำที่ถูกมองว่าเป็นการเหยียดเพศ จนเกิดการโต้เถียงอย่างดุเดือด และทำให้หลายคนสงสัยว่าพระมหาอุเทนคือใคร
เปิดประวัติ “พระมหาอุเทน” พระนักเทศน์สายวิปัสสนา
พระมหาอุเทน ปัญญาปริทัตต์ เป็นพระนักเทศน์และนักปฏิบัติธรรมสายวิปัสสนากรรมฐาน ที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักมาอย่างยาวนาน สื่อหลายสำนักระบุว่าท่านมีความเชื่อมโยงกับวัดชนะสงคราม วรมหาวิหาร กรุงเทพมหานคร
จากข้อมูลที่ท่านเคยบรรยายไว้ในคลิปอัตชีวประวัติ ระบุว่าท่านสำเร็จการศึกษาเปรียญธรรม ๙ ประโยค และมุ่งเน้นศึกษาด้านกรรมฐานตั้งแต่วัยหนุ่ม ท่านมีผลงานการเผยแผ่ธรรมะหลากหลายรูปแบบ ทั้งงานเขียนหนังสือธรรมะ เช่น ชุด ‘วิปัสสนาสาธิต’ และการบรรยายธรรมผ่านช่องทางดิจิทัล โดยเฉพาะช่องยูทูบ @bodhidhara ที่มีผู้ติดตามจำนวนมาก
ในบันทึกดังกล่าว พระมหาอุเทนเล่าว่า ท่านใช้เวลา 10-11 ปีในการศึกษาพระปริยัติธรรม จนสำเร็จการศึกษาชั้นสูงสุดคือ เปรียญธรรม ๙ ประโยค และใกล้จะสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีพุทธศาสตรบัณฑิต

4 เหตุผลแห่งการตื่นรู้ สู่การปฏิบัติ
พระมหาอุเทน เคยระบุว่า ท่านได้เกิดคำถามสำคัญกับตนเอง 4 ประการ ซึ่งกลายเป็นเหตุผลให้ท่านตัดสินใจครั้งใหญ่ ดังนี้
1. ท่านตระหนักว่าปริญญาทางโลกอาจเป็นเพียง ‘คัมภีร์ใบลานเปล่า’ หากไม่มีการปฏิบัติธรรม (ธัมมานุธัมมปฏิบัติ) ควบคู่ไป
2. ท่านสำรวจจิตใจตนเองแล้วพบว่า แม้จะบวชมานาน แต่กิเลสยังไม่ลดลง และเห็นว่าการทำกรรมฐานเท่านั้นที่จะช่วยขัดเกลาได้
3. ท่านมองว่าการจะเป็นเนื้อนาบุญที่แท้จริงให้แก่ญาติโยมได้นั้น ต้องเกิดจากการปฏิบัติของตนเอง
4. ท่านยอมรับว่าการศึกษาที่สูงทำให้เกิดอัตตาตัวตนและความยึดมั่นในความคิดเห็นมากขึ้น จึงต้องการนำความรู้ (ปริยัติ) มาสู่การปฏิบัติ (นำออก) เพื่อลดทิฐิมานะ
ด้วยเหตุผลทั้ง 4 ประการนี้ ทำให้เมื่ออายุได้ 23 ปี ท่านจึงตัดสินใจมุ่งหน้าเข้าสู่เส้นทางของการเจริญวิปัสสนากรรมฐานอย่างจริงจัง โดยท่านได้แต่งบทกลอนเพื่อเป็นอุดมคติของตนเองไว้ว่า
ไม่ต้องการยศถาบรรดาศักดิ์
ชีพนี้จักจริงแท้มิแปรผัน
ขอสักครั้งหวังสักคราว่าสักวัน
จะพบฝันดังใฝ่ไม่ยากเย็น
ไม่ต้องการจำนรรจ์คำสรรเสริญ
จะเผชิญเดินผจญเพื่อตนเห็น
แสงสว่างทางไสวอำไพเพ็ญ
ขอเพียงเป็นผู้หนึ่งเข้าถึงธรรม ฯ

ย้อนไทม์ไลน์ดราม่า #พระมหาอุเทน vs #แพรรี่, #อ.จตุรงค์
จุดเริ่มต้นของดราม่าครั้งนี้ เกิดจากการที่พระมหาอุเทนได้วิจารณ์ อ.เบียร์ คนตื่นธรรม ก่อนจะพาดพิงถึงแพรรี่ด้วยถ้อยคำที่กระทบต่อประเด็นเพศสภาพ ทำให้แพรรี่ออกมาตอบโต้ทันที
ประเด็นดังกล่าวได้ขยายวงกว้างจากความขัดแย้งส่วนบุคคล กลายเป็นข้อถกเถียงในสังคมเกี่ยวกับ ขอบเขตการใช้ถ้อยคำของพระสงฆ์ในพื้นที่สาธารณะ ว่าควรเป็นไปในลักษณะใดจึงจะเหมาะสม โดยในภายหลังพระมหาอุเทนได้ชี้แจงว่าตนไม่มีเจตนาเหยียดเพศ แต่พูดไปตามความจริงที่ตนเชื่อ
แถมก่อนหน้านี้ เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในสังคมออนไลน์ เมื่อ พระมหาอุเทน ปัญญาปริทัตต์ ได้ออกมาโพสต์ข้อความรุนแรงถึง อาจารย์จตุรงค์ จงอาษา นักวิชาการอิสระ โดยใช้ถ้อยคำที่ถูกมองว่าเป็นการเหยียดหยามและหมิ่นประมาท
เหตุการณ์ดังกล่าวเริ่มต้นจากโพสต์บนเฟซบุ๊กส่วนตัวของพระมหาอุเทน ซึ่งได้แต่งกลอนตอบโต้ อ.จตุรงค์ อย่างดุเดือด โดยมีเนื้อหาบางส่วนระบุถึงนักวิชาการผู้นี้ด้วยคำว่า “กะเทยเฒ่า เจ้าจตุรงค์ ก็มาร่วมวง (ฝูง) กับเขาแล้ว” และตบท้ายด้วยการประกาศว่า “เราไม่เคยให้ค่าให้ราคา กะเทยเฒ่าเขลาปัญญาจาตุรงค์เลย” พร้อมทั้งสาปแช่งให้ “สิ้นชีวิตเทอญ”

หลังถูกพาดพิงอย่างรุนแรง ล่าสุด อ.จตุรงค์ จงอาษา ได้ออกมาตอบโต้ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวทันที พร้อมประกาศจุดยืนชัดเจนว่าจะไม่ยอมความ โดยระบุว่า หากมีหลักฐานการพาดพิงหรือหมิ่นประมาทจากพระมหาอุเทนอีกครั้ง จะดำเนินการทางกฎหมายขั้นเด็ดขาด
“หากใครพบการพาดพิงผม/หมิ่นประมาทผม โดยพระมหาอุเทน วัดชนะสงคราม ขอความเมตตาส่งหลักฐานทั้งในอดีตและปัจจุบันให้ผมด้วยนะครับ จะได้ดำเนินคดีให้มันขาดจากผ้าเหลืองเสียที #รําคาญ” อ.จตุรงค์ โพสต์อย่างชัดเจน

นอกจากนี้ อ.จตุรงค์ ยังได้โพสต์กลอนร่ายยาวตอบกลับพระมหาอุเทน โดยมีเนื้อหาวิพากษ์วิจารณ์อย่างเผ็ดร้อนถึงพฤติกรรมของพระสงฆ์ที่ใช้ถ้อยคำรุนแรงด่าทาโยมผู้มีส่วนร่วมในธรรมะและสังคม โดยมีประโยคที่สะท้อนความไม่พอใจอย่างรุนแรง เช่น “ชายด่าโยม อ้างว่าเทศน์ เปรตจริง ๆ” และการใช้ถ้อยคำที่สื่อถึงความประพฤติที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง
เปิดมุมมองพุทธศาสน์ บัณเฑาะก์ คือใคร?
ในประเด็นนี้ เพจ Chohokun Ch. โชโฮ ธรรมราชบุตร ได้ให้ข้อมูลเชิงวิชาการที่น่าสนใจว่า คำว่า ‘บัณเฑาะก์’ ในพระไตรปิฎกนั้นมีความซับซ้อน และอาจไม่ได้หมายถึงผู้มีความหลากหลายทางเพศในความหมายปัจจุบันทั้งหมด
นอกจากนี้ ในพระวินัยยังระบุว่าบัณเฑาะก์บางประเภท (ซึ่งเป็นผู้มีรสนิยมทางเพศ) ไม่ถูกห้ามไม่ให้บวช ซึ่งหมายความว่าพวกเขายังมีโอกาสบรรลุธรรมได้
ข้อมูลดังกล่าวสนับสนุนแนวคิดที่ว่า ในทางพระพุทธศาสนา คุณค่าของบุคคลไม่ได้ถูกตัดสินจากเพศสภาพหรือวิบากกรรมในอดีต แต่ตัดสินจากการกระทำในปัจจุบัน ตราบใดที่การดำเนินชีวิตไม่ได้เบียดเบียนผู้อื่น ทุกคนก็ล้วนมีศักยภาพในการสร้างความดีและเข้าถึงธรรมะได้ไม่ต่างกัน
ดราม่าครั้งนี้จึงได้ขยายวงจากการโต้เถียงส่วนบุคคลไปสู่การถกเถียงเชิงหลักการ ว่าด้วยเรื่องการให้เกียรติในฐานะเพื่อนมนุษย์ และการตีความหลักธรรมให้สอดคล้องกับสังคมปัจจุบัน
เหตุการณ์นี้ได้ทำให้ชื่อของพระมหาอุเทนกลับมาเป็นที่สนใจของสังคมอีกครั้ง พร้อมกับทำให้เกิดคำถามสำคัญเกี่ยวกับบทบาทและจริยธรรมการสื่อสารของนักบวชในยุคโซเชียลมีเดีย
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
- “แพรรี่” ไม่ทน! ถามกลับ “พระมหาอุเทน” เรียกคนอื่นกะเทย แล้วรับได้ไหมถ้าถูกว่า ขอทาน
- อ.เบียร์ ซัดกลับ พระมหาอุเทน จีบปากจีบคอ ไม่อยากให้ค่าก๊วนพระเกาะแสง
- พระมหาอุเทน ฝากถึง อ.เบียร์ คนตื่นธรรม แค่เด็กเมื่อวานซืน ใช้พระพุทธเจ้าบังหน้า
ติดตาม The Thaiger บน Google News: