เครือข่ายแรงงานรัฐวิสาหกิจ NT ได้ส่งหนังสือคัดค้านข้อตกลงการรวมกิจการของบริษัทเครือข่ายสัญญาณ TRUE กับ DTAC ชี้ส่งผลต่อบริษัทอย่างหนัก
เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2565 – เครือข่ายแรงงานรัฐวิสาหกิจ NT ได้แถลงการณ์ถึงการคัดค้านการควบรวมกิจการระหว่าง ทรูและดีแทค เป็นการผูกขาดตลาดการแข่งขันโทรคมนาคม และจะส่งผลเสียต่อทั้งบริษัทเครือข่ายสัญญาณรายอื่น ๆ และระบบตลาดโทรคมนาคมทั้งหมด พร้อมกับส่งหนังสือแก่ กสทช. ในการพิจารณายุติการดำเนินการดังกล่าว
โดยเครือข่ายแรงงานรัฐวิสาหกิจ NT ประกอบด้วย กลุ่มผู้นำแรงงานบริษัทโทรคมนาคมแห่งชาติจำกัด (มหาชน) หรือ NT, กลุ่มพลังรักษ์องค์กรทีโอที, ชมรมศิษย์เก่าองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย, ชมรมศิษย์เก่า กสท. และประธานดำเนินการจัดตั้ง, เลขาธิการ, ที่ปรึกษา, กรรมการสหภาพแรงงาน NT
นายประสาน จ่างูเหลือม ประธานกลุ่มผู้นำแรงงาน บริษัท NT ตัวแทนเครือข่ายแรงงานรัฐวิสาหกิจ NT เปิดเผยว่า การควบรวมกิจการระหว่าง TRUE และ DTAC มีผลกระทบโดยตรงต่อการประกอบกิจการของ บมจ.โทรคมนาคมแห่งชาติ (NT) และมีผลกระทบต่อตลาดแข่งขันเสรีในธุรกิจสื่อสารโทรคมนาคมในประเทศ ซึ่งการควบรวมกิจการทั้งสองบริษัท ส่งผลให้ตลาดธุรกิจสื่อสารมีสภาพกึ่งผูกขาด เพราะไม่หลงเหลือแรงจูงใจให้แข่งขันในธุรกิจอีกต่อไป
ทั้งนี้ รัฐและ บมจ.โทรคมนาคมแห่งชาติ (NT) จะได้รับผลกระทบจากควบรวม ดังนี้
1. สูญเสียรายได้เงินปันผลจาก NT ที่ถือหุ้นดีแทค ราว 200 ล้านบาทต่อปี เนื่องจากการบริหารงานของ TRUE และ DTAC มีความแตกต่างกันอย่างมาก โดยเมื่อเทียบผลประกอบการ 5 ปี ย้อนหลัง ดีแทคมีกำไรเฉลี่ย 5,000 ล้านบาทต่อปี แต่ทรูบริหารงานแบบไม่มีกำไรและมีงบการเงินที่ติดลบมาโดยตลอด คาดว่าเมื่อเกิดการควบรวมแล้ว การบริหารงานของทรู จะส่งผลกระทบให้ผู้ถือหุ้นไม่มีเงินปันผลเหมือนที่เคยถือหุ้นดีแทคอีกต่อไป และหากนับย้อนหลัง 5 ปีที่ผ่านมาดีแทคให้เงินปันผล NT แล้วมากกว่า 1,200 ล้านบาท
2. สูญเสียรายได้ค่าเช่าเสาจากดีแทค ราว 1,900 ล้านบาทต่อปี เนื่องจากทรูมีกองทุน Infra Fund ซึ่งมีเสาที่ให้บริการโทรคมนาคมจำนวนมาก หากควบรวม TRUE และ DTAC จึงไม่จำเป็นต้องเช่าใช้เสาของ NT ต่อไป
3. สูญเสียรายได้จากการลดปริมาณการโรมมิ่งของดีแทคในโครงข่าย 2300 MHz ราว 4,500 ล้านบาทต่อปี หากเมื่อควบรวมธุรกิจกันแล้วเสร็จ จำนวนคลื่นที่สามารถนำมาให้บริการของทั้งทรู และดีแทค จะมีจำนวนมากเพียงพอในการให้บริการลูกค้าตนเองได้ จึงไม่จำเป็นต้องใช้บริการข้ามโครงข่ายภายในประเทศกับ NT ซึ่งคาดว่า ดีแทคจะลดปริมาณการโรมมิ่ง หรืออาจถึงขั้นยุติการโรมมิ่งในโครงข่าย 2300 MHz ของ NT ทำให้ NT สูญเสียรายได้จากการให้บริการจากสัญญาดีแทค 4,500 ล้านบาทต่อปี
4. สูญเสียรายได้จากการลดปริมาณการซื้อความจุโครงข่าย 850 MHz ของเรียลมูฟ (บริษัทในเครือทรู) ราว 2,200 ล้านบาทต่อปี เนื่องจากทรูและดีแทคจะมีคลื่นจำนวนมากเพียงพอในการให้บริการลูกค้าตนเองได้แล้ว จึงไม่มีความจำเป็นต้องใช้ความจุโครงข่าย 850 MHz ของ NT อีกต่อไป
นอกจากนั้น การควบรวมกันครั้งนี้ จะเกิดผลกระทบต่อภาคประชาชน และสร้างความเสียหายให้แก่ประเทศชาติ ดังนี้
1. เมื่อสภาพตลาดไม่มีการแข่งขัน เนื่องจากเหลือผู้เล่นน้อยราย จะทำให้ไม่อาจใช้กลไกทางการตลาดเป็นตัวบริหารจัดการผู้เล่นในตลาดได้ ค่าบริการอาจมีค่าสูงขึ้น และคุณภาพของการให้บริการจะแย่ลง ไม่มีการแข่งขันด้านราคาหรือปรับปรุงคุณภาพการให้บริการให้ดีอยู่เสมอเพื่อรักษาฐานลูกค้าไว้ ไม่ให้ย้ายค่าย
2. ขัดต่อเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ ปี 2560 มาตรา 40 การผูกขาดที่ไม่เป็นธรรม และ มาตรา75 การคุ้มครองผู้บริโภค
3. การควบรวมกิจการขัดต่อเจตนารมณ์ของประกาศคณะกรรมการโทรคมนาคม เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการควบรวม และการถือหุ้นไขว้ในกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2553 ที่สำคัญคือ ห้ามมิให้ผู้รับใบอนุญาตกระทำการควบรวมกิจการอันส่งผลให้เกิดการครอบงำตลาดที่เกี่ยวข้อง โดยกำหนดเกณฑ์ เชิงปริมาณในการวัด ระดับการครอบงำตลาด อย่างชัดเจนโดยการพิจารณาจากค่าดัชนีการกระจุกตัว HHI
4. การควบรวมกิจการระหว่าง ทรู และดีแทค ไม่ได้เกิดประโยชน์ต่อผู้บริโภค ที่ผลการศึกษาเบื้องต้นของสำนักงาน กสทช. เอง ระบุว่าจะทำให้ราคาค่าบริการเพิ่มขึ้น , GDP ของประเทศลดลง ในทางกลับกัน การควบรวมกิจการระหว่าง ทรู และ ดีแทค ดูจะเป็นประโยชน์แต่ตัวบริษัทมากกว่า โดยทรูจะกลายเป็นผู้เล่นในตลาดที่มีส่วนแบ่งการตลาดสูงที่สุด และมีอำนาจครอบงำตลาดได้ จากข้อได้เปรียบที่มีธุรกิจในเครือเดียวกัน เช่น ค้าปลีก ค้าส่ง ให้การสนับสนุน
5. ในอดีต รัฐได้ปรับเปลี่ยนจากองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย มาเป็น บมจ.โทรคมนาคมแห่งชาติ เพื่อลดการผูกขาดการให้บริการโดยรัฐแต่เพียงผู้เดียว และสร้างตลาดแข่งขันอย่างเสรี และเป็นธรรม เพื่อประโยชน์แก่ผู้บริโภค ที่จะใช้บริการที่มีคุณภาพที่ดีขึ้นแต่ในราคาค่าบริการที่ถูกลง เนื่องจากกลไกการตลาดแข่งขันเสรี จะช่วยทำให้ผู้บริโภคได้รับประโยชน์ แต่การควบรวมกิจการครั้งนี้ ส่งผลให้เกิดตลาดกึ่งผูกขาด ซึ่งส่งผลให้มีการพยายามสร้างอำนาจผูกขาดกลับคืนมา
นายประสาน กล่าวว่า อยากให้ สำนักงาน กสทช.พิจารณาการควบรวมครั้งนี้อย่างตรงไปตรงมา มองถึงประโยชน์ของผู้บริโภคและประเทศชาติเป็นที่ตั้งสำคัญ เนื่องจากหากดีลนี้เกิดขึ้นจริงคงต้องเรียกว่า ถึงจุดจบของNT และถึงจุดจบการแข่งขันอย่างเสรีของโทรคมนาคมไทยอย่างแน่นอน
ที่สำคัญ หาก NT ต้องล้มหายตายจากไปอุตสาหกรรมโทรคมนาคมแล้ว การให้บริการโทรคมนาคมทั้งหมดในประเทศไทยก็จะดำเนินการโดยภาคเอกชนแต่เพียงฝ่ายเดียว ก็จะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงในระบบโทรคมนาคมของประเทศในส่วนของภาครัฐ ตลอดจนการดำเนินการตามแนวนโยบายต่างๆ ที่ต้องอาศัยระบบโทรคมนาคมเป็นเครื่องผลักดัน
แหล่งที่มาของข่าว : Facebook Page – สรยุทธ สุทัศนะจินดา กรรมกรข่าว
สามารถติดตามข่าวเศรษฐกิจเพิ่มเติมได้ที่นี่ : ข่าวเศรษฐกิจ
- ธอส. ปรับเงื่อนไขเปิดให้ LGBTQ+ กู้สินเชื่อ ร่วมได้แล้ว พร้อมทั้งเปิดสินเชื่อใหม่
- ธนาคารกรุงไทย ไม่ได้ดำเนินการส่ง SMS กู้เงิน 2.1 แสนบาท