จับกุมผู้ต้องหา ฆ่าโบกปูนเศรษฐินีหมกตู้เย็นคาบ้านพักที่จอมทองแล้ว
วันนี้ (1 พ.ย.) พลตำรวจโท ประจวบ วงศ์สุข ผู้บัญชาการ ตำรวจภูธรภาค 5 ได้ออกมาแถลงถึงคดีฆาตกรรม น.ส.วรรณี จิระเจริญยิ่ง หรือวรรณ อายุ 58 ปี เศรษฐีนีนักปฏิบัติธรรมถูกนายวิฑูรย์ ศรีตะบุตร์ หรือตั้ม อายุ 39 ปี คนขับรถสองแถวรับจ้าง มัดมือมัดเท้า ฆ่ายัดศพหมกตู้เย็นโบกปูน ภายในบ้านพัก อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่ จนพบศพเมื่อวันที่ 27 ตุลาคมที่ผ่านมา
เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ และขอพิพากษาออกหมายจับนายวิฑูรย์ ข้อหาชิงทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย และรับของโจร และได้ประสานงานกับสอบสวนกลางโดยตรง ในเส้นทางที่คาดว่าผู้ต้องหาหลบหนีไป ตั้งแต่วันที่ 27 ตุลาคม ได้ประสานหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ตามเส้นทางที่คาดว่าคนร้ายจะหลบหนีไป ทั้งที่จังหวัดระยอง, ชลบุรี, กรุงเทพ, นครปฐม, กาญจนบุรี, สุพรรณบุรี, อุทัยธานี และจบที่นครสวรรค์
มีการบูรณาการร่วมกับตำรวจพื้นที่ ในการไล่ติดตามคนร้ายรายนี้ จนจับกุมได้ที่นครสวรรค์ จากการสอบสวนผู้ต้องหา ทราบว่าเป็นผู้กระทำความผิดด้วยตัวเอง ได้ยึดของกลางไว้ ผู้ต้องหามีจุดประสงค์ต้องการเงินจากผู้เสียชีวืต เนื่องจากมีปัญหาครอบครัวเรื่องการเงิน ได้อ้างว่าขอให้ผู้เสียชีวิตช่วยเหลือ คือการดาวน์รถสองแถว และผู้เสียชีวิตเคยจ้างผู้ต้องหาให้ขับไปรับส่งรถที่สนามบิน
ผู้ต้องหาใช้วิธีเข้าไปเคาะบ้านผู้เสียหายหลายรอบ ผู้เสียชีวิตไม่ยอมเปิด จึงไปเคาะประตูด้านข้าง ผู้เสียชีวิตจึงเปิดก็เห็นว่าเป็นคนรู้จักกัน น่าจะพังประตูเข้าไปชิงทรัพย์ และเชื่อว่ามีการวางแผนมาก่อน เหตุเกิด 11 ต.ค. ชวงเช้า 07.oo-8.oo น. มีการทำร้ายเพื่อข่มขู่ให้ผู้ตายบอกรหัส ATM พอได้บัตรมาก็นำไปกดเงิน หลังจากรหัสถูกต้อง จึงกลับมาฆ่าเจ้าของบ้าน วันที่ 13 กลับมาจัดการเรื่องศพ มีการใช้บัตร 2 ใบ ผู้ต้องหานำไปกดหลายครั้ง ในหลายพื้นที่ เป็นจำนวนเงิน 1.7 ล้านบาท สามารถยึดคืนมาได้ 12 ล้านบาท ที่เหลือนำไปซื้อรถจักยานยนต์ ซื้อทอง เช่าคอนโดที่กรุงเทพ และนำไปใช้สอยต่างๆ ในการหลบหนี
อาวุธที่คนร้ายใช้ มีการนำสก็อตเทปพันมือ ปาก ทำร้ายจนผู้ตายได้รับบาดเจ็บ และเอาผ้าพันมือ และจากนั้นเอาถุงพลาสติกคลุมศรีษะจนผู้ตายหมดลมหายใจ คาดว่าทำคนเดียวไม่มีผู้อื่นเกี่ยวข้อง สำหรับเพื่อนผู้ต้องหาที่รับรถยนต์ของผู้เสียชีวิตมา เดิมแจ้งว่าเป็นรถของเจ้านาย ต่อมาผู้ต้องหาจึงบอกเพื่อนว่าให้นำรถถอดป้าย เดี๋ยวภรรยาน้อยจะมาตามรถเจอ เมื่อเพื่อนเห็นข่าว เลยโทรมาแจ้ง ส่วนเพื่อนสาวอีกคนที่ไปด้วย ตอนแรกก็ไม่ทราบ ภายหลังเมื่อทราบจึงขับรถกลับมา
