ศาลญี่ปุ่นสั่งบ.ชดใช้เงิน 150 ล้าน หลังพนักงานใหม่ถูกเรียกไปด่า จนเป็นซึมเศร้าก่อนปลิดชีพตัวเอง

ศาลโตเกียวสั่งให้บริษัทเครื่องสำอางจ่ายเงิน 150 ล้านเยน ให้ครอบครัวของพนักงานสาว หลังถูกประธานเรียกไปด่า ก่อนตัดสินใจฆ่าตัวตาย
เกิดคดีความที่สะท้อนถึงปัญหาในสังคมการทำงานของญี่ปุ่น เมื่อศาลแขวงโตเกียวได้มีคำตัดสินไกล่เกลี่ยคดีที่ครอบครัวของพนักงานสาวรายหนึ่งยื่นฟ้อง โดยระบุว่าบริษัทเครื่องสำอาง “ดี-อัพ” (D-UP) ต้องรับผิดชอบการเสียชีวิตของเธอ และสั่งให้บริษัท จ่ายเงินชดเชย 150 ล้านเยน (ราว 32 ล้านบาท) พร้อมทั้งให้ประธานบริษัทลาออกจากตำแหน่งด้วย
ตามคำให้การของทนายความครอบครัว ซาโตมิ หญิงสาวอายุ 25 ปี ได้เข้าทำงานที่บริษัทดี-อัพ ในเดือนเมษายน 2021 แต่ในเดือนธันวาคมของปีเดียวกัน เธอถูกประธานบริษัทเรียกเข้าพบและตำหนิเป็นเวลานานถึง 50 นาที ด้วยถ้อยคำที่รุนแรง เช่น “อย่ามาดูถูกผู้ใหญ่นะ” และยังใช้คำพูดที่ดูถูกศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ว่า “แกมันก็แค่หมาข้างถนน” หลังจากนั้นไม่นานซาโตมิก็ถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรคซึมเศร้าและต้องลาพักงาน
ซาโตมิพยายามฆ่าตัวตายในเดือนสิงหาคมปี 2022 และแม้ว่าจะรอดชีวิตมาได้ แต่เธอก็ไม่ฟื้นคืนสติ และเสียชีวิตในเดือนตุลาคมปีเดียวกัน โดยในเดือนพฤษภาคมปี 2023 สำนักงานแรงงานยืนยันว่าการเสียชีวิตของเธอเกี่ยวข้องกับการถูกใช้อำนาจคุกคามจากประธานบริษัท และอนุมัติให้เป็นอุบัติเหตุจากการทำงาน
ศาลได้ตัดสินให้บริษัทดี-อัพยอมรับว่าการใช้อำนาจคุกคามของประธานบริษัทเป็นสาเหตุที่ทำให้ซาโตมิฆ่าตัวตาย พร้อมทั้งให้จ่ายเงินชดเชย 150 ล้านเยน (ราว 40 ล้านบาท) นอกจากนี้ ในคำตัดสินยังระบุให้ประธานบริษัท “ซากาอิ มิตสึรุ” (Sakai Mitsuru) ต้องลาออกจากตำแหน่ง ก่อนที่ทางบริษัทจะยืนยันว่าเขาได้ลาออกแล้วในวันที่ 10 กันยายนที่ผ่านมา
ซาโตมิเป็นคนที่มีความฝันอันสดใส เธอเคยเขียนไว้ในไดอารีว่า “เมื่ออายุ 30 ปี จะมีบริษัทเครื่องสำอางของตัวเอง” โดยแม่ของเธอก็เล่าว่า ซาโตมิมีความสุขมากที่ได้ทำงานในบริษัทที่เธอใฝ่ฝัน แต่คำพูดที่รุนแรงของประธานบริษัททำให้เธอเสียใจอย่างมาก
“เธอพูดกับพ่อแม่ว่า ‘ประธานบริษัทบอกว่าหนูเป็นหมาข้างถนน ถ้าหนูเป็นหมา พ่อแม่ก็คงถูกหาว่าเป็นหมาด้วยใช่ไหม'” แม่ของซาโตมิเล่า
พี่สาวของซาโตมิได้ให้สัมภาษณ์ว่า “ฉันอยากให้ประธานขอโทษน้องสาวตอนที่ยังมีชีวิตอยู่” และหวังว่า “พวกเขาจะหยุดทำร้ายคนที่พยายามทำงานอย่างหนัก และอยากให้สังคมเป็นสังคมที่อบอุ่นและคอยดูแลกัน”
พ่อของซาโตมิกล่าวว่า “ถึงแม้จะเกลียดบริษัทมากแค่ไหน น้องสาวก็ไม่สามารถกลับมามีชีวิตได้” แต่เขาก็หวังว่า “จะไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีกกับพนักงานใหม่ในอนาคต”
อ้างอิง : www3.nhk.or.jp
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
- อินฟลูฯ เขมร ปั่นปลุกม็อบ หวังเลียนแบบเนปาล ชาวเน็ตซัดกลับ อย่างสร้างปัญหา
- อัยการไต้หวัน เอาผิด หญิงไทย กดแฮมสเตอร์ 10 ตัวลงชักโครกประชดแฟน
ติดตาม The Thaiger บน Google News: