ไขข้อสงสัย! ทำไมศาลอุทธรณ์ เพิ่มโทษ “ลุงพล” คดีน้องชมพู่ จาก 20 เป็น 26 ปี

ทำไมศาลอุทธรณ์ เพิ่มโทษ “ลุงพล” จาก 20 เป็น 26 ปี ในคดีน้องชมพู่ โดยเปลี่ยนฐานความผิดหลักเป็นฆ่าโดยเจตนาเล็งเห็นผล และเพิ่มข้อหาอำพรางศพ
หลังจากที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 ได้มีคำพิพากษาแก้เพิ่มโทษ นายไชย์พล วิภา หรือ ลุงพล จากเดิมจำคุก 20 ปี เป็น 26 ปี ในคดีการเสียชีวิตของ “น้องชมพู่” จึงทำให้เกิดข้อสงสัยขึ้นว่าเหตุใดศาลจึงมีคำตัดสินที่หนักขึ้น ซึ่งหัวใจสำคัญของคำพิพากษาครั้งนี้อยู่ที่การที่ศาลอุทธรณ์ได้ปรับเปลี่ยนฐานความผิดหลัก จาก “ประมาท” เป็น “ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาย่อมเล็งเห็นผล” และยังได้เพิ่มความผิดในข้อหา “อำพรางศพ” อีกหนึ่งกระทง
เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนขึ้น จึงได้เทียบคำพิพากษาของศาลทั้งสองครั้งได้ดังนี้
คำพิพากษาครั้งแรก เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2566
จำเลยที่ 1 นายไชย์พล วิพา (ลุงพล) มีความผิด 2 กระทง
- ฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย (มาตรา 291) ลงโทษจำคุก 10 ปี
- ฐานพรากเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี โดยไม่มีเหตุอันสมควร (มาตรา 317) ลงโทษจำคุก 10 ปี
รวม 3 กระทง ลงโทษจำคุกทั้งหมด 20 ปี
จำเลยที่ 2 นางสมพร หลาบโพธิ์ (ป้าแต๋น) พิพากษายกฟ้อง
ศาลให้ประกันตัวชั่วคราว ด้วยหลักทรัพย์เป็นที่ดินจำนวน 780,000 บาท

คำพิพากษาครั้งล่าสุด เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2568
จำเลยที่ 1 นายไชย์พล วิพา (ลุงพล) มีความผิด 3 กระทง
- ฐานฆ่าผู้อื่นตายโดยเจตนาและทอดทิ้งเด็กอายุยังไม่เกิน 9 ปี ไว้ ณ ที่ใดเพื่อให้เด็กนั้นพ้นไปเสียจากตน โดยประการที่ทำให้เด็กนั้นปราศจากผู้ดูแล เป็นเหตุให้ผู้ถูกทอดทิ้งถึงแก่ความตาย (มาตรา 288, 306 และ 308) ลงโทษจำคุก 15 ปี
- ฐานพรากเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี โดยไม่มีเหตุอันสมควร (มาตรา 317) ลงโทษจำคุก 10 ปี
- ฐานร่วมกันกระทำการใด ๆ แก่ศพหรือสภาพแวดล้อมในบริเวณที่พบศพก่อนการชันสูตรพลิกศพเสร็จสิ้น ในประการที่น่าจะทำให้การชันสูตรพลิกศพหรือผลทางคดีเปลี่ยนแปลงไป (มาตรา 150 ทวิ) ลงโทษจำคุก 1 ปี
รวม 3 กระทง ลงโทษจำคุกทั้งหมด 26 ปี
จำเลยที่ 2 นางสมพร หลาบโพธิ์ (ป้าแต๋น) พิพากษายกฟ้อง
โดยจะต้องจ่ายค่าชดใช้ในคดีให้โจทก์ร่วมที่ 1 ราว 1,350,000 บาท และค่าชดใช้ในคดีให้โจทก์ร่วมที่ 2 อีกราว 1,200,000 บาท
ด้าน ทนายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก ทนายคู่ใจ วิเคราะห์สาเหตุที่ทำให้ศาลเพิ่มโทษ ลุงพล จาก 20 ปี เป็น 26 ปีไว้ดังนี้
ประเด็นสำคัญจาก ประมาท เป็น ฆ่าโดยเจตนาเล็งเห็นผล
ทนายรณณรงค์ชี้ว่า นี่คือหัวใจของคดีที่ทำให้โทษหนักขึ้น ศาลอุทธรณ์ไม่เพียงแต่มองว่าการกระทำของลุงพลเป็นการ “ขาดความระมัดระวัง” แต่เห็นว่าพฤติการณ์ที่พาเด็กเล็กไปในพื้นที่อันตรายโดยไม่มีการป้องกัน และปล่อยให้เกิดเหตุจนถึงขั้นเสียชีวิตนั้น ไม่ใช่แค่การประมาท แต่เป็นการกระทำที่ “ยอมรับความเสี่ยงที่รู้ว่าผลจะทำให้ถึงแก่ความตาย” ซึ่งในทางกฎหมายถือเป็น “เจตนาฆ่าโดยเล็งเห็นผล” ตามมาตรา 288 ที่มีอัตราโทษสูงกว่ามาก
ข้อหาใหม่ อำพรางศพ
ศาลอุทธรณ์ยังเพิ่มข้อหา “อำพรางซ่อนเร้นศพ” ตามมาตรา 199 เพราะหลังเกิดเหตุ มีการกระทำที่เข้าข่ายทำลายหรือปิดบังพยานหลักฐาน เพื่อไม่ให้ตรวจหาสาเหตุการตายได้โดยง่าย

เหตุผลที่ป้าแต๋นยังยกฟ้อง
แม้จะถูกตั้งข้อหา แต่ทั้งศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์เห็นว่าพยานหลักฐานยังไม่เพียงพอที่จะเชื่อมโยงว่าป้าแต๋นมีส่วนร่วมในเหตุการณ์ จึงยกฟ้องเช่นเดิม
ผลทางคดีและสิทธิของจำเลย
- คำพิพากษานี้ ยังไม่ถึงที่สุด ลุงพลสามารถยื่นฎีกาได้
- การขอประกันระหว่างฎีกา ศาลจะพิจารณาจากพฤติการณ์ ความร้ายแรงของข้อหา และโทษจำคุกที่สูงขึ้น
- หากฎีกาไม่เปลี่ยนแปลง ลุงพลจะต้องรับโทษจำคุกตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
- สรุปหลักฐาน คดีลุงพล สาเหตุเจตนาฆ่า น้องชมพู่ ติดคุก 26 ปี เกิดอะไรขึ้นบ้าง
- ย้อนหลักฐานมัด “ลุงพล” คดีน้องชมพู่ “รอยตัดเส้นผม” สู่โทษจำคุก 26 ปี
- นอนคุกยาว ศาลฎีกา ไม่ให้ประกัน ลุงพล ชี้ คดีร้ายแรง-โทษสูง เกรงหลบหนี
ติดตาม The Thaiger บน Google News: