ชาวเน็ตติง นำทูตนานาชาติ ลงพื้นที่เกิดเหตุ ปั๊มน้ำมัน เจอแต่ป้ายภาษาไทยล้วน

ชาวเน็ตวิจารณ์ยับ หลังคณะทูตและสื่อต่างประเทศลงพื้นที่ตรวจสอบความเสียหายจากจรวด BM-21 ที่ปั๊มน้ำมัน จ.ศรีสะเกษ กลับมีแต่ป้ายสรุปเหตุการณ์ภาษาไทยเพียงภาษาเดียว
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2568 กรณีที่ พล.ท.อานุภาพ ศิริมณฑล รองเสนาธิการทหารบก พล.อ.ท.ณรัฐ บุญประเสริฐ เจ้ากรมกิจการพลเรือนทหารอากาศ (จก.กร.ทอ.) นายรัศม์ ชาลีจันทร์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศ นำเอกอัครราชทูต อุปทูต 11 ประเทศ คณะทูตทหาร 23 ประเทศ 28 คน สื่อต่างประเทศ และสื่อไทย ลงพื้นที่สำรวจความเสียหาย จากเหตุการณ์จรวด BM-21 ของกัมพูชายิงถล่มสถานีบริการน้ำมันที่ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ แต่ชาวเน็ตกลับสังเกตเห็น เมื่อป้ายบรรยายสรุปเหตุการณ์ทั้งหมดที่จัดทำขึ้นในพื้นที่ มีเนื้อหาเป็นภาษาไทยเพียงภาษาเดียว ซึ่งไม่มีภาษาอังกฤษประกอบ

การลงพื้นที่ในครั้งนี้มีขึ้นเพื่อแสดงให้ประชาคมโลกได้เห็นถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นกับพลเรือนผู้บริสุทธิ์ โดยมีภาพที่น่าสะเทือนใจคือการที่ครอบครัวของผู้เสียชีวิตทั้ง 8 ราย ได้มายืนถือกรอบรูปของบุคคลอันเป็นที่รัก เพื่อเรียกร้องความยุติธรรมต่อหน้าคณะทูตานุทูต แต่ท่ามกลางบรรยากาศที่น่าสลดใจนี้เอง ชาวเน็ตกลับตั้งคำถามถึงความเป็นมืออาชีพของหน่วยงานผู้จัด ที่จัดทำป้ายข้อมูลสำหรับชาวต่างชาติเป็นภาษาไทยทั้งหมด
หลังจากภาพดังกล่าวถูกเผยแพร่ออกไป ได้มีชาวเน็ตเข้ามาแสดงความคิดเห็นวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของเจ้าหน้าที่เป็นจำนวนมาก โดยส่วนหนึ่งแสดงความคิดเห็นว่า

“เรากำลังพรีเซนต์ต่างประเทศไม่ใช่หรอวันนี้ น่าจะนำเสนอ 2ภาษา”
“ไม่มีภาษาอังกฤษ น่าจะมี QR Code แต่ละภาษาที่ทูตมาดูด้วย”
“มีเวลาเตรียมตัวเป็นสัปดาห์ ผู้มาเยือนคือต่างชาติที่รู้แต่แรกอยู่แล้ว แต่ใช้ป้ายภาษาไทย ไม่มีงบก็ใช้ AI ค่ะ ไม่มีศักภาพเลย ไม่ให้ต่อว่าได้ไง ปล.ดีนะไม่ใช้เลขไทย”
“แทนที่จะมาทำให้ดูอินเตอร์สื่อสารรู้เรื่อง ชาวต่างชาติแทบแยกไม่ออกว่านี่คืออยู่ประเทศไทยหรืออยู่เขมร”
“ทำไมไม่ทำป้ายภาษาอังกฤษ”
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
- เสียงจากผู้บริสุทธิ์ “เด็กไทย” เล่านาทีจรวดลงเป็นภาษาอังกฤษ ต่อหน้าทูต 23 ชาติ
- ญาติร่ำไห้ ชูภาพผู้เสียชีวิต เหยื่อระเบิด ปั๊มน้ำมันศรีสะเกษ ต่อหน้าคณะทูตนานาชาติ
- ไทย พาทูต 23 ประเทศ สื่อ 150 คน ดูร้านสะดวกซื้อ ถูกเขมรยิงถล่ม
อ้างอิง : FB/ กองทัพบก ทันกระแส
ติดตาม The Thaiger บน Google News: