เปิดเหตุผล ศาลรธน. สั่งนายกอิ๊ง หยุดปฏิบัติหน้าที่ ยังไม่ตัดสินว่าผิด

เปิดสาเหตุ เจาะคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญ หยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี ทำไมศาล รธน.เสียงข้างมากให้ นายกอิ๊ง หยุดปฏิบัติหน้าที่ทันที
วันที่ 1 กรกฎาคม 2568 ศาลรัฐธรรมนูญเผยแพร่คำแถลงคจุดเปลี่ยนใหญ่ของรัฐบาล องค์คณะตุลาการทั้ง 9 คนลงมติเป็นเอกฉันท์รับคำร้องของสมาชิกวุฒิสภา 36 คน กล่าวหานางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ว่าขาดความซื่อสัตย์สุจริตและประพฤติผิดจริยธรรมอย่างร้ายแรงจากกรณีคลิปเสียงสนทนากับสมเด็จฮุน เซน อดีตผู้นำกัมพูชา
ต่อมาตุลาการฯ เสียงข้างมาก 7 ต่อ 2 มีคำสั่งให้ นายกแพทองธาร หยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีในทันทีตามรัฐธรรมนูญมาตรา 82 วรรคสอง เพื่อป้องกันไม่ให้ใช้อำนาจแทรกแซงพยานหลักฐานระหว่างที่ศาลใช้เวลาไต่สวนข้อเท็จจริงและวินิจฉัยประเด็นจริยธรรม
คำร้องของ ส.ว. ระบุว่าเนื้อหาในคลิปเสียงเกี่ยวพันถึงกองทัพภาค 2 มีลักษณะบ่อนทำลายศักดิ์ศรีรวมถึงความมั่นคงของชาติ ศาลจึงเห็นว่ามีน้ำหนักเพียงพอจะ “ก่อให้เกิดเหตุอันควรสงสัย” ว่านายกรัฐมนตรีอาจกระทำผิดจริยธรรมร้ายแรง แม้ตุลาการสองคนจะลงความเห็นต่างว่าไม่ควรสั่งพักงาน แต่คะแนนเสียงส่วนใหญ่ก็เพียงพอให้คำสั่งมีผลบังคับตั้งแต่นาทีที่อ่านในบัลลังก์
ส่วนตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมที่แพทองธารเพิ่งควบมาได้ไม่นานยังคงอยู่ เพราะคำร้องเจาะจงเฉพาะเก้าอี้นายกรัฐมนตรี มิได้รวมตำแหน่งอื่นเข้าไว้ด้วย
เหตุผลสำคัญที่ศาลยกขึ้นคือความแตกต่างจากคดี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เมื่อปี 2565 ซึ่งเป็นเพียงข้อพิพาทเรื่องวาระ 8 ปี ทำให้ศาลสั่งหยุดหน้าที่เฉพาะในฐานะนายกฯ แต่เปิดทางให้ทำงานรัฐมนตรีกลาโหมต่อไปได้ ขณะที่กรณีแพทองธารเป็นเรื่องคุณสมบัติและจริยธรรมส่วนบุคคล หากพิสูจน์ได้ว่าผิดจริงย่อมส่งผลให้ความเป็นรัฐมนตรีทุกตำแหน่งสิ้นสุดลง ไม่ใช่แค่เก้าอี้นายกฯ นักวิชาการฝ่ายเห็นต่างจึงเตรียมหยิบประเด็นนี้ไปร้องศาลให้วินิจฉัยต่อว่าเธอควรต้องหยุดทำหน้าที่รัฐมนตรีวัฒนธรรมด้วยหรือไม่
ขั้นตอนนับจากนี้ ศาลรัฐธรรมนูญจะส่งสำเนาคำสั่งและเอกสารประกอบทั้งหมดให้ผู้ถูกร้องภายใน 15 วัน เปิดทางให้นายกรัฐมนตรีชี้แจงข้อกล่าวหา ยื่นพยานหลักฐานเพิ่มเติม จากนั้นตุลาการอาจเรียกบุคคลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ผู้บัญชาการทหารบก หรือแม้แต่ฝ่ายกัมพูชา (ถ้าเป็นไปได้) มาให้ถ้อยคำประกอบ ก่อนลงมติวินิจฉัยครั้งสุดท้ายว่าจะให้สิ้นสุดความเป็นนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีหรือคืนสถานะให้ปฏิบัติหน้าที่ได้ตามเดิม กระบวนการทั้งหมดอาจใช้เวลาหลายเดือนขึ้นอยู่กับความซับซ้อนของพยานหลักฐาน
สำหรับรัฐบาลในช่วงสุญญากาศนี้ รักษาการนายกรัฐมนตรีสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจจะปฏิบัติงานแทนในงานสำคัญ ส่วนแพทองธารแม้ถูกพักตำแหน่งนายกฯ ก็ยังนั่งโต๊ะคณะรัฐมนตรีได้ในฐานะรัฐมนตรีวัฒนธรรม ทำให้ยังมีช่องทางรับรู้ข้อมูลและเสนอวาระต่อที่ประชุมได้ อย่างไรก็ตามฝ่ายต่อต้านมองว่านี่คือ “แผนสำรองอำนาจ” และอาจจุดชนวนร้องเรียนรอบใหม่คล้ายกรณีอดีตนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน ที่เคยถูกศาลตัดสินพ้นตำแหน่งเพราะปมจริยธรรมเกี่ยวกับการแต่งตั้งรัฐมนตรี
กล่าวโดยสรุป คำสั่งศาลรัฐธรรมนูญครั้งนี้ไม่ได้ชี้ขาดว่านายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของไทย “ผิดหรือไม่ผิด” แต่เป็นการคุ้มครองกระบวนการยุติธรรมให้ปราศจากการครอบงำจากฝ่ายบริหารระหว่างไต่สวนคดี หากท้ายที่สุดศาลพิพากษาว่ากระทำผิดจริยธรรมร้ายแรงจริง แพทองธารจะต้องหลุดจากตำแหน่งทั้งหมดและอาจถูกตัดสิทธิทางการเมืองตามมา
ทว่า หากยกคำร้อง แพทองธาร จะกลับมารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อทันที ในขณะที่เก้าอี้รัฐมนตรีวัฒนธรรมอาจเป็นทั้งเส้นทางรอดและจุดเสี่ยงใหม่ที่ต้องจับตาในสมรภูมิการเมืองไทยช่วงครึ่งหลังของปี 2568
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
- เปิดชื่อ 2 ตุลาการเสียงข้างน้อย หนุน แพทองธาร นั่งนายกฯ ต่อ
- อุ๊งอิ๊ง ยังไม่สิ้นอำนาจ รมว. แม้หยุดหน้าที่นายกฯ วางหมากสำรองไว้แล้ว แยบยลเก๋าเกม
- เปิดประวัติ “สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ” รักษาการนายกฯ หลัง แพทองธาร หยุดปฏิบัติหน้าที่
ติดตาม The Thaiger บน Google News: