การเงินเศรษฐกิจ

ส่องทรัพย์สิน พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรค รทสช. รวยอู้ฟู่ พอร์ตธุรกิจเพียบ

เปิดบัญชีทรัพย์สิน พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค อดีต รมว.ยุติธรรม พบข้อมูลถือหุ้น 5 บริษัทมูลค่ากว่า 57 ล้าน สวนทางบางแห่งรายได้ 0 บาท

ในแวดวงการเมืองไทย พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ คือชื่อที่ทุกคนรู้จักในฐานะนักการเมืองมือฉมังและอดีตผู้พิพากษาฝีมือดี แต่ในอีกมุมหนึ่ง เขายังเป็นนักธุรกิจผู้มีทรัพย์สินจำนวนมหาศาล ซึ่งสะท้อนภาพความมั่งคั่งที่น่าจับตามอง โดยข้อมูลจาก ป.ป.ช. เคยเปิดเผยว่า สมัยที่เข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเมื่อปี 2551 พีระพันธุ์มีทรัพย์สินสูงถึงกว่า 710 ล้านบาท

เจาะพอร์ตธุรกิจ-ทรัพย์สิน อาณาจักรหุ้น 57 ล้าน

เมื่อย้อนดูข้อมูลที่สำนักงาน ป.ป.ช. เคยเปิดเผยบัญชีทรัพย์สินของ พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ก็พบว่าเขามีทรัพย์สินในระดับหลายร้อยล้านบาท

ข้อมูลดังกล่าวถูกเปิดเผยในช่วงที่นายพีระพันธุ์เข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2551 โดยมีการแจ้งว่ามีทรัพย์สินรวมทั้งสิ้น 710,086,707.32 บาท และเมื่อพ้นจากตำแหน่งในวันที่ 10 สิงหาคม 2554 ทรัพย์สินคงเหลืออยู่ที่ 676,029,519.98 บาท ซึ่งลดลงไปประมาณ 34 ล้านบาท

ไม่เพียงแต่ทรัพย์สินที่เคยแจ้งไว้ในอดีต ในปัจจุบันนายพีระพันธุ์ยังคงมีบทบาทในแวดวงธุรกิจอย่างต่อเนื่อง จากการตรวจสอบข้อมูลของ Creden Data ผ่านฐานข้อมูลกรมพัฒนาธุรกิจการค้า พบว่าเขามีชื่อเป็นกรรมการบริษัทถึง 3 แห่ง และถือครองหุ้นในบริษัทต่าง ๆ อีก 5 รายการ คิดเป็นมูลค่าหุ้นรวมทั้งสิ้น 57,329,182 บาท

ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนให้เห็นภาพของนักการเมืองผู้คร่ำหวอด ที่ไม่ได้มีเพียงอำนาจทางการเมือง แต่ยังพ่วงมาด้วยอาณาจักรธุรกิจและทรัพย์สินมูลค่ามหาศาล ซึ่งเป็นอีกหนึ่งแง่มุมที่น่าจับตาอย่างยิ่งบนเส้นทางของชายที่ชื่อ พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค

พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค
วิกิพีเดีย

1. บริษัท รพีโสภาค จำกัด

เมื่อเจาะลึกลงไปในพอร์ตธุรกิจของ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หนึ่งในบริษัทที่น่าสนใจและเต็มไปด้วยความน่าฉงนคือ บริษัท รพีโสภาค จำกัด ซึ่งดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และมีชื่อของนายพีระพันธุ์เป็นทั้งกรรมการและผู้ถือหุ้นใหญ่ที่สุด

จากข้อมูลพบว่า นายพีระพันธุ์ถือครองหุ้นในบริษัทนี้มากถึง 22,000 หุ้น หรือคิดเป็น 73.33% ของหุ้นทั้งหมด มีมูลค่าหุ้นตามบัญชีอยู่ที่ 1,862,022 บาท

แต่สิ่งที่น่าประหลาดใจอย่างยิ่งคือ บริษัท รพีโสภาค จำกัด แจ้งผลประกอบการว่า ไม่มีรายได้เลยแม้แต่บาทเดียวติดต่อกันถึง 3 ปี ตั้งแต่ปี 2563 ถึง 2565 โดยมีแต่รายจ่ายที่ทำให้บริษัทขาดทุนต่อเนื่องทุกปี แต่ในทางกลับกัน งบการเงิน ณ ปี 2565 กลับแสดงให้เห็นว่าบริษัทมีทรัพย์สินรวมสูงถึง 6,505,486 บาท และมีหนี้สินรวม 3,966,250 บาท

สถานะของบริษัท รพีโสภาค จึงกลายเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจ ว่าเหตุใดบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีทรัพย์สินและหนี้สินหลายล้านบาท จึงไม่มีการเคลื่อนไหวทางรายได้เลยเป็นเวลาหลายปี ซึ่งอาจเป็นการถือครองที่ดินหรือทรัพย์สินเพื่อรอการพัฒนาในอนาคต หรืออาจมีเหตุผลทางธุรกิจอื่นใดซ่อนอยู่เบื้องหลัง

2. บริษัท โสภา คอลเล็คชั่นส์ จำกัด

จากนั้น นายพีระพันธุ์ ก็ก้าวเข้าสู่โลกของสินค้าหรูหราอย่างเครื่องประดับ ผ่าน บริษัท โสภา คอลเล็คชั่นส์ จำกัด ซึ่งแม้ชื่อจะฟังดูสวยหรู แต่เมื่อเจาะลึกลงไปในงบการเงิน กลับพบเรื่องราวที่น่าประหลาดใจอย่างยิ่ง

นายพีระพันธุ์มีชื่อเป็นทั้งกรรมการและผู้ถือหุ้นในบริษัทนี้อยู่ 10% ทว่าผลประกอบการย้อนหลังกลับมีความผันผวนอย่างสุดขีด โดยเฉพาะในปี 2562 ที่บริษัทมีรายได้รวมทั้งปีเพียง 48 บาท เท่านั้น แต่กลับมียอดขาดทุนสูงถึง 46,952 บาท

แม้ในปีต่อมา (2563) บริษัทจะสามารถพลิกกลับมาทำกำไรได้เล็กน้อยที่ 1,194 บาท จากรายได้ 16,194 บาท แต่ในปี 2564 ก็กลับไปขาดทุนอีกครั้ง สะท้อนให้เห็นถึงความไม่แน่นอนในการดำเนินงาน อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าสนใจคือ แม้รายได้จะน้อยนิด แต่บริษัทกลับมีทรัพย์สินรวมในปี 2564 สูงถึง 968,267 บาท ขณะที่มีหนี้สินเพียง 15,000 บาท

พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ทรัพย์สิ
พรรครวมไทยสร้างชาติ

3. บริษัทอื่นๆ ของพีระพันธุ์

เมื่อสำรวจดูรายชื่อบริษัทที่ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ถือหุ้นอยู่ จะพบเพชรเม็ดงามที่ซ่อนอยู่ในพอร์ตของเขา นั่นคือ บริษัท วีพี แอโร่เทค จำกัด ซึ่งทำธุรกิจเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ให้เช่า โดยนายพีระพันธุ์ถือหุ้นอยู่ถึง 73.56% คิดเป็นมูลค่าสูงมหาศาลถึง 65,648,339 บาท ถือเป็นธุรกิจเรือธงที่สร้างความมั่งคั่งให้กับเขาอย่างแท้จริง

แต่ในอีกด้านของความสำเร็จ ก็ยังมีอีกบริษัทหนึ่งที่แสดงตัวเลขตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง นั่นคือ บริษัท พี แอนด์ เอส แลนด์ แอนด์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ซึ่งนายพีระพันธุ์เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ถึง 93.00% แต่กลับมีมูลค่าหุ้นทางบัญชี ติดลบกว่า 10,276,505 บาท กลายเป็นภาพสะท้อนที่แตกต่างกันอย่างสุดขั้วในพอร์ตการลงทุนของเขา

นอกจากนี้ ยังมีบริษัทอื่นๆ ที่แสดงให้เห็นถึงความซับซ้อนในการลงทุน เช่น บริษัท ธนจิรัง จำกัด ที่เขามีชื่อถือหุ้นอยู่ แต่กลับมีมูลค่าเป็นศูนย์บาท และ บริษัท เฟิสท์ สยาม บิลเดอร์ จำกัด ที่เขาเคยเป็นกรรมการ ซึ่งได้ปิดกิจการและเสร็จการชำระบัญชีไปแล้วตั้งแต่ปี 2544

อ้างอิง : ป.ป.ช., พรรครวมไทยสร้างชาติ

ติดตาม The Thaiger บน Google News:

0 0 โหวต
Article Rating
สมัครรับข้อมูล
แจ้งเตือนเกี่ยวกับ
0 Comments
เก่าแก่ที่สุด
ใหม่ล่าสุด ถูกโหวตมากที่สุด
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด

Thosapol

นักเขียนบทความที่ Thaiger จบการศึกษาจากคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ เชี่ยวชาญเรื่องบทความท่องเที่ยว บันเทิง ไลฟ์สไตล์ ผ่านการค้นหาข้อมูลโดยละเอียดพร้อมด้วยประสบการณ์ตรงของตัวเอง งานอดิเรกมีความสนใจในกระแสข่าวรอบตัวต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านสุขภาพ สังคม การเมือง และที่สำคัญคือเป็นทาสแมวร้อยเปอร์เซ็นต์ครับ ช่องทางติดต่อ thospol@thethaiger.com

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to top button
0
เราอยากทราบความคิดเห็นของคุณ โปรดแสดงความคิดเห็นx