สุขภาพและการแพทย์

หมอธีระวัฒน์ เตือนภัย ยาแก้ปวด คนไทยชอบกิน เสี่ยงอันตรายถึงหัวใจ-สมอง ไม่ใช่แค่กระเพาะ-ไต

หมอธีระวัฒน์ เตือนภัย ยาแก้ปวดแรงฤทธิ์ เสี่ยงอันตรายถึงหัวใจ-สมอง ไม่ใช่แค่กระเพาะ-ไต

ศาสตราจารย์ นายแพทย์ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ผู้เชี่ยวชาญด้านประสาทวิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ให้ความรู้และเตือนประชาชนถึงอันตรายของยาแก้ปวดที่มีฤทธิ์แรง นอกจากผลข้างเคียงต่อกระเพาะอาหารและไต อย่างที่ทราบกันดีแล้ว ยังมีพิษร้ายแรงต่อหัวใจและสมองอีกด้วย

ศ.นพ.ธีระวัฒน์ ระบุว่า คนส่วนใหญ่เคยรับประทานยาแก้ปวดเพื่อบรรเทาอาการปวดต่างๆ เช่น ปวดหัว ปวดเข่า ปวดหลัง หรือปวดประจำเดือน หลายคนใช้เป็นประจำ หรือแม้กระทั่งทานยาก่อนที่จะมีอาการปวด ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้ส่งผลให้เกิดปัญหาตามมามากมาย เช่น ปัญหาเลือดออกในกระเพาะอาหาร และที่สำคัญคือภาวะไตวาย จนต้องล้างไตหรือฟอกเลือด

ความน่ากังวลเกี่ยวกับยาแก้ปวดกลุ่มที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) และกลุ่มที่ออกฤทธิ์ยับยั้งเฉพาะเอนไซม์ COX-2 (COX-2 Inhibitor) ถูกเน้นย้ำให้เห็นชัดเจนยิ่งขึ้นจากเหตุการณ์สำคัญในปี 2547 (ค.ศ. 2004) เมื่อยา Vioxx (Rofecoxib) ซึ่งเป็นยาในกลุ่ม COX-2 Inhibitor ถูกพบว่าเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดภาวะหัวใจวายจนมีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก ทำให้ต้องถอนยาออกจากตลาดทั่วโลก แม้ Vioxx จะถูกถอนไปแล้ว แต่ยาในกลุ่ม COX-2 Inhibitor อื่นๆ เช่น Celebrex (Celecoxib), Arcoxia (Etoricoxib), Dynastat (Parecoxib) ยังคงมีจำหน่ายในประเทศไทย โดยมีคำเตือนว่าอาจมีผลต่อกระเพาะอาหารและไตได้เช่นกัน

นอกจากนี้ ยาแก้ปวดลดอักเสบกลุ่ม NSAIDs ทั่วไปที่ไม่ได้ออกฤทธิ์เจาะจงต่อ COX-2 เช่น Voltaren (Diclofenac), Brufen (Ibuprofen), Ponstan (Mefenamic acid), Naprosyn (Naproxen) และ Aspirin ซึ่งมีหลากหลายชื่อการค้าแม้จะเป็นตัวยาเดียวกัน ก็จำเป็นต้องใช้อย่างระมัดระวัง โดยเฉพาะในผู้ที่มีปัญหาตับและไตไม่สมบูรณ์

ศ.นพ.ธีระวัฒน์ ได้อ้างอิงรายงานสำคัญจากวารสารการแพทย์ของอังกฤษ (British Medical Journal) เมื่อปี 2554 (ค.ศ. 2011) ซึ่งรวบรวมผลการศึกษา 31 ชิ้นในผู้ป่วยกว่า 116,000 ราย ผลวิเคราะห์พบว่ายา NSAIDs หลายตัวเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ เส้นเลือดสมองตีบ และการเสียชีวิตจากโรคระบบหัวใจและหลอดเลือดอย่างมีนัยสำคัญ ตัวอย่างเช่น

  • Ibuprofen (เช่น Brufen) เพิ่มความเสี่ยงอัมพฤกษ์จากเส้นเลือดสมองตีบสูงถึง 3.36 เท่า
  • Diclofenac (เช่น Voltaren) เพิ่มความเสี่ยงเส้นเลือดสมองตีบ 2.86 เท่า และเสี่ยงต่อการเสียชีวิตจากโรคระบบหัวใจและหลอดเลือดโดยรวม 3.98 เท่า
  • Etoricoxib (Arcoxia) เพิ่มความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตจากโรคระบบหัวใจและหลอดเลือดโดยรวมสูงสุดถึง 4.07 เท่า

ศ.นพ.ธีระวัฒน์ สรุปว่า ยาแก้ปวดไม่ว่ากลุ่มใดก็ตาม ไม่มีตัวใดปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์ หากไม่ทำให้เส้นเลือดหัวใจตีบ ก็อาจเพิ่มความเสี่ยงอัมพฤกษ์ หรือมีผลกระทบต่อระบบหัวใจและหลอดเลือดโดยรวม ท่านชี้ว่าในประเทศไทยมีการใช้ยาเหล่านี้อย่างแพร่หลาย ทั้งจากแพทย์สั่งและจากการซื้อด้วยตนเอง

ดังนั้น ประชาชนต้องพิจารณาอย่างถี่ถ้วนว่าจำเป็นต้องใช้ยาแก้ปวดหรือไม่ ยาที่ใช้เป็นการรักษาที่ต้นเหตุหรือเพียงบรรเทาอาการ และควรตระหนักถึงผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น รวมถึงผลกระทบต่อยาอื่นที่ใช้อยู่เป็นประจำ

ศ.นพ.ธีระวัฒน์ ทิ้งท้ายด้วยคำเตือนสั้นๆ แต่ได้ใจความว่า “ยาแก้ปวดจึงเป็นยาที่เพียบพร้อมมีอันตรายต่อกระเพาะ หลอดอาหาร กรดไหลย้อน ไต ตับ หัวใจ สมอง นึกถึงยาแก้ปวดเมื่อไหร่นึกถึง ICU ด้วยนะครับ”

เตือน ใช้ “ยาแก้แพ้-ยาแก้เวียน” ต่อเนื่องนานๆ อาจเพิ่มเสี่ยง “สมองเสื่อม”

นอกจากนี้ หมอธีระวัฒน์ โพสต์เพิ่มเติม ให้ความรู้เตือนประชาชนเกี่ยวกับการใช้ยาบางกลุ่มเป็นประจำและต่อเนื่องเป็นเวลานาน อาจส่งผลกระทบต่อสมองและเพิ่มความเสี่ยงภาวะสมองเสื่อมได้ โดยเฉพาะกลุ่มยาแก้แพ้ ยาแก้เมารถเมาเรือ และยาอื่นๆ ที่มีฤทธิ์ต้านระบบโคลีเนอร์จิก (Anticholinergic หรือ AC)

ยาแก้แพ้ ยาแก้เวียนศีรษะ ที่หลายคนคุ้นเคยและมองว่าปลอดภัยนั้น นอกจากใช้รักษาอาการแพ้ วิงเวียน ยังถูกนำมาใช้เป็นยานอนหลับเฉพาะกิจ หรือช่วยลดอาการสั่นในผู้ป่วยพาร์กินสันได้ ยาเหล่านี้มีข้อเสียที่พบบ่อยคืออาการง่วงซึม ปากแห้ง คอแห้ง น้ำลายและน้ำตาแห้ง หรืออาจกระทบการปัสสาวะและผู้ที่เป็นต้อหินได้ เนื่องจากมีฤทธิ์สำคัญคือการต้านระบบโคลีเนอร์จิก (Anticholinergic)

ยาที่มีฤทธิ์ Anticholinergic นี้ ไม่ได้มีแค่ในกลุ่มยาแก้แพ้ แต่ยังรวมถึงยาในกลุ่มอื่นๆ เช่น ยารักษาอารมณ์ซึมเศร้าบางชนิด และยาที่ใช้รักษาปัญหาการปัสสาวะ โดยมีการจัด “ระดับความแรงของฤทธิ์ Anticholinergic” (Anticholinergic Burden Score) เป็นระดับ 1, 2 และ 3 ซึ่งระดับ 3 ถือว่ามีฤทธิ์แรงมาก ตัวอย่างยาที่มีฤทธิ์แรงระดับ 3 เช่น

ยาแก้แพ้/แก้เวียน: คลอร์เฟนิรามีน (Chlorpheniramine), ไดเมนไฮดริเนต (Dimenhydrinate – เช่น ดรามามีน), ไดเฟนไฮดรามีน (Diphenhydramine – เช่น เบนาดริล), เมคลิซีน (Meclizine)

ยาคลายเศร้าบางชนิด: ด็อกเซปิน (Doxepin), นอร์ทริปไทลีน (Nortriptyline)

ยาแก้ปัญหาปัสสาวะ: ออกซีบิวไทนิน (Oxybutynin), โทลเทอโรดีน (Tolterodine – เช่น เดทรูสิทอล)

ศ.นพ.ธีระวัฒน์ ได้อ้างอิงผลการศึกษาสำคัญจาก “Alzheimer’s Disease Neuroimaging Initiative” ตีพิมพ์ในวารสารสมาคมแพทย์อเมริกันทางประสาทวิทยาปี 2559 (JAMA Neurology 2016) ซึ่งติดตามผู้สูงอายุเฉลี่ย 73 ปี จำนวนกว่า 400 คน เป็นระยะเวลานานถึง 96 เดือน (8 ปี) ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มที่ใช้ยาที่มีฤทธิ์ Anticholinergic ในระดับ 2 และ 3 เป็นประจำ มีความเสี่ยงสูงกว่ากลุ่มที่ไม่ได้ใช้ยา ดังนี้

  • สมองฝ่อมากขึ้น: โดยเฉพาะบริเวณเปลือกสมองและกลีบขมับ ซึ่งควบคุมเรื่องความจำ
  • การทำงานของสมองลดลง: ตรวจพบได้จากการตรวจ PET Scan
  • คะแนนความสามารถทางสติปัญญาและความจำต่ำกว่า: โดยเฉพาะในกลุ่มที่ใช้ยาที่มีฤทธิ์แรงระดับ 3

แม้กลไกที่แน่ชัดว่ายาเหล่านี้ส่งผลต่อสมองอย่างไรยังไม่ทราบทั้งหมด ศ.นพ.ธีระวัฒน์ ย้ำว่ายาแก้แพ้ รวมถึงยาในกลุ่มอื่นๆ ที่กล่าวมา ยังคงเป็นยาสำคัญและมีประโยชน์ในการรักษาโรค แต่การใช้ยาเหล่านี้จำเป็นต้องพิจารณาถึงความจำเป็น ขนาดของยา และระยะเวลาที่ใช้ ให้เหมาะสม

ท่านแนะนำว่า ผู้ที่ใช้ยาเป็นประจำสามารถตรวจสอบระดับความแรงของฤทธิ์ Anticholinergic ของยาที่ใช้อยู่ได้ผ่านเว็บไซต์ https://www.acbcalc.com/ (โดยใส่ชื่อสามัญของยา) หากยาอยู่ในระดับ 1 หรือ 2 อาจไม่น่ากังวลเท่าระดับ 3 ซึ่งควรใช้ด้วยความระมัดระวังในเรื่องขนาด และไม่ควรใช้ติดต่อกันเป็นเวลานานเกินไป เช่น ใช้ทุกวันนานเกิน 6 เดือน ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรเพื่อความปลอดภัยในการใช้ยา

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

ติดตาม The Thaiger บน Google News:

0 0 โหวต
Article Rating
สมัครรับข้อมูล
แจ้งเตือนเกี่ยวกับ
0 Comments
เก่าแก่ที่สุด
ใหม่ล่าสุด ถูกโหวตมากที่สุด
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด

Aindravudh

นักเขียนประจำ Thaiger มีประสบการณ์เขียนข่าวมากกว่า 5 ปี จบการศึกษาด้านภาษาและประวัติศาสตร์ จากคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีความสนใจ ประเด็นความเคลื่อนไหวทางสังคมและการเมือง เจาะประเด็นข่าวทางสังคม ด้วยกลวิธีการเล่าเรื่องแบบย่อยง่าย อย่างงานเขียนสร้างสรรค์ สั้น กระชับ จับทุกประเด็น หัวข้อที่เชียวชาญคือเรื่องไลฟ์สไตล์ เลขเด็ด หวยรัฐบาลไทย หวยลาว ช่องทางติดต่อ vajara@thethaiger.com

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to top button
0
เราอยากทราบความคิดเห็นของคุณ โปรดแสดงความคิดเห็นx