ทวี สอดส่อง เจอ “30 สว.” เอาคืนคดีฮั้ว ยื่นป.ป.ช. ฟันผิดม.157 รมว.ยุตธรรม

สมาชิกวุฒิสภาประมาณ 30 นำโดยกลุ่ม สว.สีน้ำเงิน และกลุ่มอื่นๆ รวมตัวสู้ดิ้คดีฮั้ว ยื่นป.ป.ช. เอาผิดทวี สอดส่อง ผิดม.157 ละเว้นหน้าที่
วันนี้ (10 มี.ค.) เมื่อเวลา 15.00 น.ที่ผ่านมา กลุ่มสมาชิกวุฒิสภาประมาณ 30 คน ซึ่งประกอบด้วยกลุ่ม สว.สีน้ำเงิน และกลุ่มอื่นๆ ได้เดินทางมายังสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สนามบินน้ำ จ.นนทบุรี เพื่อกล่าวโทษร้องทุกข์ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 157 รวมถึงเรื่องอื่นๆ
นอกจากนี้อ้างอิงข้อมูลจากมติชนระบุ สมาชขิกหวุฒิสภาสีน้ำเงินยังเจรจาต่อรองกับ “ส.ว.จากกลุ่มอื่นๆ” เช่นส.ว.พันธุ์ใหม่บางคน รวมถึงส.ว.กลุ่มอิสระ ให้มาร่วมลงชื่อในการยื่นเอาผิด พ.ต.อ.ทวี ในครั้งนี้ด้วย
ก่อนหน้านี้ The Standard เคยลงรายะเอยีดเกี่ยวกับ “สว. สีนําเงิน มีใครเป็นใครกันบ้าง เริ่มจาก กลุ่มใกล้ชิดนายอนุทิน ชาญวีรกูล ประกอบด้วย
- พล.อ. เกรียงไกร ศรีรักษ์ อดีตแม่ทัพภาคที่ 4 อดีตประธานคณะที่ปรึกษา รมว.มหาดไทย เพื่อนร่วมรุ่นนายอนุทิน
- ประพนธ์ ตั้งศรีเกียรติกุล อดีตปลัดกระทรวงสาธารณสุขและอดีตที่ปรึกษารมว.สาธารณสุข สมัยนายอนุทิน
กลุ่มอดีตผู้สมัคร สส.ภูมิใจไทย
- นิพนธ์ เอกวานิช จังหวัดภูเก็ต เขต 1 ภูมิใจไทย
- มาเรีย เผ่าประทาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เขต 7 ภูมิใจไทย
- สมชาย เล่งหลัก จังหวัดสงขลา เขต 9 ภูมิใจไทย
สายบ้านใหญ่
- มงคล สุระสัจจะ อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์
- พล.ต.ต. ฉัตรวรรษ แสงเพชร อดีตผู้บังคับการตํารวจภูธร จังหวัดบุรีรัมย์
- ปราณีต เกรัมย์ นักกีฬาฟุตบอลอาวุโส (อดีตคนขับรถ ชัย ชิดชอบ)
สำหรับผลการประชุมคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) เมื่อ 6 มี.ค.ที่ผ่านมา มีมติ 11 ต่อ 4 ให้รับ “คดีฮั้วเลือก ส.ว.” เป็นคดีพิเศษ ในความผิดฐานฟอกเงิน ซึ่งพิจารณาตามข้อเสนอคณะอนุกรรมการกลั่นกรองฯ ที่ให้พิจารณาตามฐานความผิดคดีฟอกเงิน ซึ่งเป็นหนึ่งในความผิดตามบัญชีแนบท้าย พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ อยู่ในอำนาจดีเอสไอในการทำคดีอยู่แล้ว แต่มีประเด็นความผิดต้องเกินวงเงิน 300 ล้านบาท ที่กำลังรวบรวมพยานหลักฐานให้ชัดเจน จึงเสนอว่า หากจะให้ “ดีเอสไอ” ดำเนินคดีนี้ด้วยข้อหาฟอกเงิน ต้องให้ “กคพ.” ลงมติชี้ขาดรับเป็นคดีพิเศษ นำไปสู่การลงมติด้วยเสียง 11 ต่อ 4 ดังกล่าว
เสียงส่วนใหญ่ใน กคพ.เห็นว่า เป็นแนวทางที่ง่ายต่อการดำเนินการ ไม่ต้องมีปัญหาตีความอำนาจซ้ำซ้อนกับ “กกต.”(คณะกรรมการการเลือกตั้ง) อีกทั้งอำนาจตามกฎหมายคดีพิเศษนั้น หากพนักงานสอบสวนคดีพิเศษพบการกระทำผิดในเรื่องเดียวกันนี้ ไปสู่ข้อหาอื่น เช่น อั้งยี่ ความผิดต่อความมั่นคง ม.116 ให้พนักงานสอบสวนคดีพิเศษทำคดีต่อเนื่องได้โดยไม่ต้องขออนุมัติเป็นคดีพิเศษอีก ที่ประชุม กพค. จึงเลือกแนวทางนี้ แล้วมีมติโดยไม่ได้มีการลงมติในประเด็นอื่น ไม่ได้มีมติตีตกข้อหาอั้งยี่และ ม.116 แต่อย่างใด
ทั้งนี้กรมสอบสวนคดีพิเศษได้เผยแพร่เอกสารแถลงข่าวผลการประชุมและลงมติของบอร์ด กคพ. โดยมีเนื้อหาว่า การมีมติชี้ขาดให้กรณีการสมคบกันในความผิดฐานฟอกเงินของบุคคลหรือคณะบุคคลที่กระทำผิดเป็นอั้งยี่ตามมาตรา 209 แห่งประมวลกฎหมายอาญาและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ตามที่ฝ่ายเลขานุการเสนอมาเป็นคดีพิเศษ.
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- ครอบครัว อดีตผู้กำกับโจ้ ประกาศเลื่อนพิธีรดน้ำศพ-สวดอภิธรรม รอความชัดเจน
- กคพ. รับคดีฮั้วเลือก สว. ข้อหาฟอกเงิน แต่ไม่รับอั้งยี่ซ่องโจร
- เปิดรายชื่อคณะกรรมการคดีพิเศษ 22 ชีวิต ลงเสียงคดีฮั้วสว. รับเป็นคดีพิเศษหรือไม่