พ่อลูกอังกฤษป่วยมะเร็งต่อมลูกหมาก เผย 3 สิ่งที่ผู้ชายควรทำตั้งแต่เนิ่นๆ
คุณบ็อบและแอนดรูว์ ริดลีย์ พ่อลูกชาวอังกฤษ ป่วยมะเร็งต่อมลูกหมากภายในเวลาห่างกันเพียง 1 เดือน พร้อมเผย 3 สิ่งที่ผู้ชายควรทำตั้งแต่เนิ่นๆ
บ็อบ ริดลีย์ ในวัย 76 ปี มีความกังวลเรื่องมะเร็งต่อมลูกหมากมาโดยตลอด เนื่องจากพ่อของเขาเคยป่วยด้วยโรคนี้มาก่อน เขาจึงตรวจวัดระดับ PSA (Prostate-Specific Antigen) อย่างสม่ำเสมอ
อย่างไรก็ตาม บ็อบ ได้ตรวจพบว่าระดับ PSA ของบ็อบเพิ่มสูงกว่าปกติ ก่อนที่จะได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากระยะที่ 3 และทีมแพทย์ได้คาดการณ์ไว้ว่าดขาจะมีชีวิตได้อีกเพียง 10 ปีเท่านั้น
ไม่กี่สัปดาห์ต่อมา แอนดรูว์ ริดลีย์ ลูกชายวัย 52 ปี เริ่มมีอาการปวดบริเวณสีข้าง ทางแพทย์ได้คาดการณ์ว่า เขาอาจเป็นนิ่วในไต แต่ผลการตรวจ CT scan เผยให้เห็นว่าต่อมน้ำเหลืองในช่องท้องและสะโพกของเขาโตผิดปกติ
เวลาผ่านไป 1 เดือน ในที่สุดแพทย์ได้ยืนยันว่า แอนดรูว์ เป็นมะเร็งต่อมลูกหมากระยะที่ 4 ซึ่งลุกลามไปที่กระดูกสันหลังและไขกระดูก เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และทำให้เขามีชีวิตได้มากที่สุดเพียง 5 ปีเท่านั้น
สำหรับครอบครัวริดลีย์ ถือว่าเป็นเรื่องยากที่จะรับมืออย่างมาก แต่ทั้งสองคนยังมองโลกในแง่ดี และเข้ารับการรักษาด้วยฮอร์โมนบำบัดและเคมีบำบัดเพื่อชะลอการลุกลามของมะเร็งต่อไป
ซึ่งเรื่องราวของครอบครัวริดลีย์ เป็นเครื่องเตือนใจให้ผู้ชายทุกคนตระหนักถึงความสำคัญของการตรวจหามะเร็งตั้งแต่เนิ่นๆ โดยเฉพาะมะเร็งต่อมลูกหมาก ซึ่งเป็นมะเร็งที่พบมากในผู้ชาย ซึ่ง 3 สิ่งที่ผู้ชายควรทำประกอบไปด้วย
3 สิ่งที่ผู้ชายควรทำเพื่อตรวจหามะเร็งต่อมลูกหมาก
1. ตรวจวัดระดับ PSA อย่างสม่ำเสมอ
การตรวจเลือดเพื่อวัดระดับ PSA (Prostate-Specific Antigen) เป็นวิธีหนึ่งในการตรวจหามะเร็งต่อมลูกหมากตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ซึ่งอาจยังไม่มีอาการ
2. สังเกตอาการผิดปกติ
ให้ความสนใจกับอาการผิดปกติ เช่น ปวดหลัง ปวดกระดูก ปัสสาวะลำบาก หรือมีเลือดปนในปัสสาวะ หากพบอาการเหล่านี้ ควรรีบปรึกษาแพทย์
3. ปรึกษาแพทย์
หากมีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็ง หรือมีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ควรรีบไปปรึกษาแพทย์เพื่อวางแผนการตรวจคัดกรองมะเร็งที่เหมาะสม
อ้างอิงข้อมูลจาก : 1
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง