ข่าวสุขภาพและการแพทย์อาหาร

ชา กับ กาแฟ ดื่มอะไรได้ ‘คาเฟอีน’ มากกว่า สัญญาณเตือนเสพติดคาเฟอีน

ชาและกาแฟเป็นเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมอย่างมากทั่วโลก ทั้งสองชนิดต่างมีคาเฟอีน ซึ่งเป็นสารกระตุ้นที่ช่วยให้รู้สึกตื่นตัว กระปรี้กระเปร่า และเพิ่มสมาธิในการทำงาน อย่างไรก็ตาม ชาและกาแฟมีคาเฟอีนในปริมาณที่แตกต่างกัน

เปรียบเทียบคาเฟอีน ชา VS กาแฟ

เมื่อเปรียเทียบด้วยปริมาตรเดียวกัน ชา มีสารคาเฟอีนอยู่ประมาณ 20-90 มิลลิกรัมต่อแก้ว ชาชนิดที่มีคาเฟอีนสูงที่สุดคือชาดำ รองลงมาคือชาอูหลง ชาเขียวมีคาเฟอีนน้อยที่สุด

Advertisements

กาแฟ มีสารคาเฟอีนอยู่ประมาณ 60-200 มิลลิกรัมต่อแก้ว กาแฟชนิดที่มีคาเฟอีนสูงที่สุดคือกาแฟโรบัสต้า รองลงมาคือกาแฟอาราบิก้า กาแฟสำเร็จรูปมีคาเฟอีนน้อยที่สุด

สรุปได้ว่า กาแฟมีคาเฟอีนมากกว่าชา โดยเฉลี่ยแล้วกาแฟ 1 แก้วจะมีคาเฟอีนประมาณ 95 มิลลิกรัม ในขณะที่ชาดำ 1 แก้วจะมีคาเฟอีนประมาณ 50 มิลลิกรัม และชาเขียว 1 แก้วจะมีคาเฟอีนประมาณ 30 มิลลิกรัม

อย่างไรก็ตาม ปริมาณคาเฟอีนในชาและกาแฟอาจแตกต่างกันได้ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น ชนิดของชาและกาแฟ วิธีชง ปริมาณของชาและกาแฟที่ใช้ และความเข้มข้นของกาแฟ

ตัวอย่างเช่น ชาเขียวที่ชงนานจะได้คาเฟอีนมากกว่าชาเขียวที่ชงไม่นาน และกาแฟที่ชงแบบเอสเปรสโซจะมีคาเฟอีนมากกว่ากาแฟที่ชงแบบอเมริกันคอฟฟี่

ใน 1 วัน คนเราควรกินคาเฟอีนเท่าไหร่

ปริมาณคาเฟอีนที่ร่างกายได้รับอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น อายุ เพศ น้ำหนักตัว สุขภาพ และการใช้ยาบางชนิด

Advertisements

ทั่วไปแล้ว ผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพดีควรได้รับคาเฟอีนไม่เกินวันละ 400 มิลลิกรัม หากได้รับคาเฟอีนมากเกินไปอาจทำให้เกิดอาการข้างเคียงต่างๆ เช่น ปวดศีรษะ กระสับกระส่าย นอนไม่หลับ หัวใจเต้นเร็ว และวิตกกังวล

ดังนั้น หากต้องการดื่มชาหรือกาแฟเพื่อเพิ่มความตื่นตัว ควรเลือกดื่มในปริมาณที่เหมาะสม และสังเกตอาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น

ดื่มชากาแฟ ประโยชน์ของคาเฟอีน ออกฤทธิ์อะไรต่อร่างกายบ้าง

สารคาเฟอีนในกาแฟ ชา มีฤทธิ์ระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้ร่างกายตื่นตัว กระปรี้กระเปร่า และเพิ่มสมาธิในการทำงาน คาเฟอีนเมื่อเข้าสู่รายการจะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดอย่างรวดเร็ว และออกฤทธิ์ภายใน 30 นาที โดยจะคงอยู่ในร่างกายประมาณ 6-8 ชั่วโมง แล้วจะถูกขับออกจากร่างกายทางปัสสาวะ

ข้อดีและประโยชน์ของคาเฟอีน มีหลายอย่างดังนี้

1. เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสมอง คาเฟอีนช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดไปยังสมอง ส่งผลให้สมองได้รับออกซิเจนและสารอาหารมากขึ้น ส่งผลให้สมองทำงานได้ดีขึ้น จดจำสิ่งต่างๆ ได้ดีขึ้น และเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ได้เร็วขึ้น

2. เพิ่มสมรรถภาพร่างกาย คาเฟอีนช่วยกระตุ้นการหลั่งอะดรีนาลีน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ช่วยเพิ่มพลังงานและกระตุ้นการทำงานของกล้ามเนื้อ ส่งผลให้ร่างกายมีแรงมากขึ้น ทนต่อการออกกำลังกายได้นานขึ้น และฟื้นตัวจากการออกกำลังกายได้เร็วขึ้น

3. ช่วยให้ระบบเผาผลาญทำงานดีขึ้น คาเฟอีนช่วยกระตุ้นการเผาผลาญไขมัน ส่งผลให้ร่างกายเผาผลาญไขมันได้มากขึ้น ซึ่งอาจช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคอ้วนและโรคหัวใจ

4. บรรเทาอาการปวด คาเฟอีนมีฤทธิ์บรรเทาอาการปวด เช่น ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ และปวดหลัง

5. ลดความเสี่ยงเกิดนิ่วในถุงน้ำดี คาเฟอีนอาจช่วยลดความเสี่ยงเกิดนิ่วในถุงน้ำดีได้

อย่างไรก็ดี หากเราดื่มกาแฟมากเกินไปอาจทำให้เกิดผลเสียตามมานั่นคืออาการเสพติดคาเฟอีน

อาการแบบไหนบ่งบอกว่าเรา “เสพติดคาเฟอีน”

เคยเป็นไหม วันไหนไม่ได้กินกาแฟร่างกายไม่สดชื่น เหมือนนอนไม่เต็มตื่น ปวดหัว อาการเสพติดคาเฟอีนเกิดขึ้นเมื่อร่างกายเกิดความเคยชินกับคาเฟอีน และต้องการคาเฟอีนในปริมาณที่มากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อรักษาระดับความตื่นตัวและความกระปรี้กระเปร่า อาการเสพติดคาเฟอีนอาจเกิดขึ้นได้ทั้งในผู้ที่ดื่มคาเฟอีนเป็นประจำทุกวัน และผู้ที่ดื่มคาเฟอีนเป็นครั้งคราว

อาการเสพติดคาเฟอีนมักเกิดขึ้นเมื่อไม่ได้ดื่มคาเฟอีนเป็นเวลานาน เช่น เมื่อตื่นนอนตอนเช้าหรือเมื่อเดินทางไกล อาการที่มักพบได้ ได้แก่

  • ปวดศีรษะ ปวดหัว
  • ง่วงซึม
  • อ่อนเพลีย
  • หงุดหงิด
  • กระสับกระส่าย
  • คลื่นไส้
  • อาเจียน

หากมีอาการเสพติดคาเฟอีน ควรค่อยๆ ลดปริมาณการดื่มคาเฟอีนลงทีละน้อย หลีกเลี่ยงการดื่มคาเฟอีนในตอนเย็นหรือก่อนนอน และดื่มน้ำเปล่าให้มากขึ้นเพื่อช่วยขับคาเฟอีนออกจากร่างกาย

วิธีการลดปริมาณการดื่มคาเฟอีน สามารถทำได้ดังนี้

  • แทนที่กาแฟหรือชาด้วยเครื่องดื่มที่ไม่มีคาเฟอีน เช่น น้ำเปล่า น้ำผลไม้ นม ชาสมุนไพร เป็นต้น
  • ค่อยๆ ลดปริมาณคาเฟอีนในแต่ละวัน เช่น จากวันละ 4 แก้ว เหลือ 3 แก้ว ใน 1 สัปดาห์ จากนั้นเหลือ 2 แก้ว ใน 1 สัปดาห์ และเหลือ 1 แก้ว ใน 1 สัปดาห์
  • หลีกเลี่ยงการดื่มคาเฟอีนในตอนเย็นหรือก่อนนอน เพื่อป้องกันอาการนอนไม่หลับ

ถ้าต้องการได้คาเฟอีน ดื่มชาหรือกาแฟดีกว่ากัน

กาแฟจะดีกว่าชา เนื่องจากกาแฟมีปริมาณคาเฟอีนมากกว่าชา โดยทั่วไป ชาดำ 1 แก้ว จะมีคาเฟอีนประมาณ 50 มิลลิกรัม ชาเขียว 1 แก้ว จะมีคาเฟอีนประมาณ 30 มิลลิกรัม และกาแฟ 1 แก้ว จะมีคาเฟอีนประมาณ 95 มิลลิกรัม นั่นหมายความว่า กาแฟมีปริมาณคาเฟอีนมากกว่าชาดำเป็น 2 เท่า และมากกว่าชาเขียวเป็น 3 เท่า

ดังนั้น ถ้าต้องการได้คาเฟอีนอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ กาแฟจึงเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า อย่างไรก็ตาม การดื่มกาแฟมากเกินไปอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพได้ ดังนั้น ควรดื่มกาแฟในปริมาณที่เหมาะสม โดยองค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำให้ผู้ใหญ่ดื่มคาเฟอีนไม่เกิน 400 มิลลิกรัมต่อวัน หรือคิดเป็นกาแฟประมาณ 4 แก้ว

นอกจากปริมาณคาเฟอีนแล้ว ชาและกาแฟยังมีความแตกต่างกันในด้านอื่นๆ อีกด้วย เช่น

  • รสชาติ: ชามีรสชาติที่หลากหลายกว่ากาแฟ ขึ้นอยู่กับชนิดของชา เช่น ชาดำ ชาเขียว ชาอู่หลง เป็นต้น ส่วนกาแฟมีรสชาติที่ค่อนข้างเข้มข้นและขม
  • สารอาหาร: ชามีสารต้านอนุมูลอิสระมากกว่ากาแฟ นอกจากนี้ ชาเขียวยังอุดมไปด้วยสารอีจีซีจี (EGCG) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีฤทธิ์ในการต้านมะเร็ง

อ้างอิงจาก : national library of medicine , driftaway.coffee และ ncbi.nlm.nih.gov

Aindravudh

นักเขียนประจำ Thaiger มีประสบการณ์เขียนข่าวมากกว่า 5 ปี จบการศึกษาด้านภาษาและประวัติศาสตร์ จากคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีความสนใจ ประเด็นความเคลื่อนไหวทางสังคมและการเมือง เจาะประเด็นข่าวทางสังคม ด้วยกลวิธีการเล่าเรื่องแบบย่อยง่าย อย่างงานเขียนสร้างสรรค์ สั้น กระชับ จับทุกประเด็น หัวข้อที่เชียวชาญคือเรื่องไลฟ์สไตล์ เลขเด็ด หวยรัฐบาลไทย หวยลาว ช่องทางติดต่อ vajara@thethaiger.com

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ใส่ความเห็น

Back to top button