
เบื้องหลังดีล 19% เปิดสิ่งที่ไทยต้องแลก เพื่อหนีเพดานภาษี 36% จากสหรัฐฯ จากเส้นตาย 1 สิงหาคม สู่การเจรจาอันเข้มข้นที่ผูกโยงทั้งการค้า อธิปไตย และภูมิรัฐศาสตร์ ยอมเปิดตลาดสินค้าเกษตร-พลังงานสหรัฐฯ ขนานใหญ่
ในห้องเจรจาที่มองไม่เห็น ณ ปลายเดือนกรกฎาคม 2568 ลมหายใจของเศรษฐกิจไทยมูลค่าหลายล้านล้านบาทถูกแขวนไว้บนเส้นด้าย เดิมพันครั้งประวัติศาสตร์นี้คือการต่อรองเพื่อหนีจาก กำแพงภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ที่สหรัฐอเมริกาประกาศจะขึ้นอัตราสูงสุดถึง 36% เต็มเพดาน ซึ่งจะเริ่มมีผลในวันที่ 1 สิงหาคม และเมื่อฝุ่นควันจางลง ประเทศไทยได้รับชัยชนะด้วยอัตราภาษีใหม่ที่ 19% แต่ชัยชนะนี้ต้อง แลกมากับอะไรบ้าง และเหตุใดสมรภูมิรบที่ชายแดนไทย-กัมพูชาจึงกลายเป็นตัวแปรสำคัญในเกมนี้
สิ่งที่ไทยยอมแลกให้สหรัฐฯ ในเกมสงครามภาษี 19%
บนโต๊ะเจรจา ประเทศไทยได้ยื่นไพ่ ฃหลายใบ เพื่อแลกกับอัตราภาษีที่ลดลง ประการแรกคือการเปิดประตูระบายบานใหญ่สำหรับสินค้าเกษตรและพลังงานยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ ทั้งเนื้อหมู, ไก่, เนื้อวัว, ข้าวโพดอาหารสัตว์ และก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ซึ่งจะถูกลดภาษีจนเกือบเป็นศูนย์
การตัดสินใจครั้งนี้มาพร้อมกับยาหอม ที่รัฐบาลต้องเตรียมไว้ นั่นคือแพ็กเกจเยียวยามูลค่า 40,000 ล้านบาท (อ้างอิงจากเว็บไซต์ www.ainvest.com ใช้จำนวนเงินว่า 40 billion) สำหรับเกษตรกรและผู้ประกอบการในประเทศที่ต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น
ประการที่สอง คือคำมั่นสัญญาที่จะเพิ่มการนำเข้าสินค้าเทคโนโลยีสูงจากสหรัฐฯ ที่ไทยผลิตไม่ได้ เช่น เครื่องมือแพทย์และชิ้นส่วนอากาศยาน พร้อมทั้งเสนอเม็ดเงินลงทุนใหม่ในแผ่นดินอเมริกา
ทั้งโรงงานชิ้นส่วนรถยนต์ไฟฟ้า และโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน เพื่อสนับสนุนยุทธศาสตร์ “friend-shoring” ของสหรัฐฯ และท้ายที่สุด คือการปฏิรูปกฎระเบียบภายในครั้งใหญ่ เพื่อลดอุปสรรคทางการค้าที่มิใช่ภาษี (Non-Tariff Barriers) และยกระดับการปราบปรามการลักลอบนำสินค้าจีนผ่านแดน (trans-shipment) อย่างจริงจัง
ตัวแปรสำคัญที่ทำให้การเจรจาซึ่งเคยหยุดชะงักกลับมาเดินหน้าต่อได้ในนาทีสุดท้าย คือสถานการณ์สู้รบที่ชายแดนไทย-กัมพูชา รายงานจาก สื่อต่างประเทศอย่าง Reuters ระบุว่า สหรัฐฯ ได้ใช้ความขัดแย้งนี้เป็นเงื่อนไขแฝง โดยชะลอการพูดคุยและขีดเส้นใต้ว่าทั้งสองฝ่ายต้อง หยุดยิงก่อน
เมื่อมีข้อตกลงหยุดยิงซึ่งมาเลเซียเป็นเจ้าภาพในวันที่ 28 กรกฎาคม สหรัฐฯ จึงได้ “รีสตาร์ต” การเจรจาภาษีในทันที แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาลไทยเผยว่า สหรัฐฯ พอใจกับท่าทีของไทยที่เคารพข้อตกลงชายแดน ซึ่งกลายเป็น “กุญแจทางการเมือง” ดอกสุดท้ายที่ปลดล็อกดีลนี้ได้สำเร็จ
ชัยชนะ…และโจทย์ท้าทายบทต่อไป
การได้มาซึ่งอัตราภาษี 19% ช่วยให้ภาคการส่งออกของไทยรอดพ้นจากความสูญเสียที่อาจสูงถึง 350,000 ล้านบาทต่อปี และยังคงความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลกไว้ได้ แต่ดีลนี้มาพร้อมกับเงื่อนไขติดตามผลที่เข้มงวด สหรัฐฯ จะเฝ้าดูการปฏิบัติตามข้อตกลงของไทยอย่างใกล้ชิดเป็นเวลา 6–12 เดือน
หากการเปิดตลาดเกษตร, การปราบปรามสินค้าจีนผ่านแดน หรือเสถียรภาพชายแดนไม่เป็นไปตามที่ตกลง อัตราภาษี 36% ก็พร้อมจะถูกนำกลับมาใช้อีกครั้ง ขณะเดียวกัน รัฐบาลก็ต้องเผชิญกับสมรภูมิรบในบ้าน นั่นคือการบริหารกองทุนชดเชยเกษตรกรและแผนช่วยเหลือ SME เพื่อให้ผลดีจากภาษีไม่ถูกหักล้างด้วยผลกระทบจากการแข่งขันที่เพิ่มขึ้น
สรุปได้ว่า ประเทศไทยได้ส่วนลดภาษี 19 % เพราะ 1) ยอมเปิดตลาดเกษตร-พลังงานและลดอุปสรรคการค้าที่สหรัฐฯ ต้องการ, 2) ให้คำมั่นลงทุน-ปกป้องซัพพลายเชน และ 3) ปฏิบัติตามเงื่อนไข “หยุดยิงชายแดนไทย-กัมพูชา” ที่สหรัฐฯ ผูกเข้าในโต๊ะเจรจา แม้ไม่ได้เขียนลงในเอกสารภาษีโดยตรงแต่ถูกใช้เป็น “คีย์การเมือง” ให้ดีลเดินหน้าในวินาทีสุดท้าย
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
- ภาษีทรัมป์ กระทบไทยหนัก เสี่ยงตกงานอื้อ ขายหุ้นยับ
- “ทรัมป์” เคาะลดภาษีไทย เหลือ 19% จาก 36% เทียบเท่า กัมพูชา
ติดตาม The Thaiger บน Google News: