‘ไอติม พริษฐ์’ ประกาศ ‘ก้าวไกล’ ยกเลิกเกณฑ์ทหาร มีผลปีหน้า
ไอติม พริษฐ์ ยืนยันหนักแน่น ยกเลิกเกณฑ์ทหาร มีผลปีหน้า พรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ก้าวไกล นำโดยว่าที่นายกพิธา รับปากชัดไม่มีเกณฑ์ทหารแล้ว ตามสมัครใจอย่างเดียว
ล่าสุด 19 พฤษภาคม 2566 ไอติม พริษฐ์ วัชรสินธุ พร้อมด้วย ไหม ศิริกัญญา ตันสกุล ได้ไปร่วมพูดคุยตอบคำถามนโยบาย ยกเลิกเกณฑ์ทหาร ในรายการกรรมกรข่าว คุยนอกจอ โดยพิธีกร สรยุทธ สุทัศนะจินดา และ ไบรท์ พิชญทัฬห์ จันทร์พุฒ ซึ่งทางพรรคก้าวไกลได้ยกเรื่องการยกเลิกเกณฑ์ทหาร ให้สมัครตามความสมัครใจเท่านั้นมาหาเสียงช่วงเลือกตั้ง
ไอติม พริษฐ์ ระบุว่าการยกเลิกเกณฑ์ทหารเป็นเรื่องที่ 2 พรรคใหญ่ร่วมรัฐบาลได้ประกาศเห็นด้วยทั้งคู่ ขณะนี้ร่างกฎหมายแก้ไข พ.ร.บ. รับราชการทหาร 2497 เตรียมไว้พร้อมแล้วรอยื่นทันทีที่สภาเปิด หากได้เสียงเกินกึ่งก็จะสามารถแก้ไขได้
ส่วนตัว ไอติม ค่อนข้างมั่นใจว่าจะทำได้ เนื่องจากก้าวไกลและเพื่อไทยได้ประกาศร่วมกัน และถ้าเป็นไปตามนี้ การเกณฑ์ทหารครั้งล่าสุดช่วงเดือนเมษายน 2566 ก็จะเป็นครั้งสุดท้ายที่มีการจับใบดำใบแดง ซึ่งไอติมทราบมาว่ามีนักเรียนหลายคนเริ่มหยุดเรียน รด. แล้วเนื่องจากไม่จำเป็นต้องเกณฑ์ทหารอีกต่อไป
สรยุทธ์ได้ถามต่ออีกว่า หากจำนวนคนสมัครไม่พอ ทหารหายไปหมดจะทำอย่างไร ไอติมได้ชี้แจงว่าตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา กองทัพขอยอด ทหารกองประจำการ หรือ พลทหาร เฉลี่ย 100,000 คนต่อปี โดยมีคนที่สมัครใจเป็นทหารประมาณ 40,000 มีส่วนต่างประมาณ 60,000 คนที่ถูกบังคับจับใบดำใบแดง
ไอติมระบุว่าก้าวไกลได้วิเคราะห์แล้วว่าตัวเลข 100,000 สามารถลดลงได้ 30 – 40% ไม่ว่าจะมองในมิติไหน แม้ระดับมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาก็ยังมีการปรับลดจำนวนกองทัพทุกปี ซึ่งก้าวไกลคาดว่าปรับลงมาครึ่งต่อครึ่ง เหลือจำนวน 50,000 – 60,000 คนได้ และจำนวนนี้ยังคงเพียงพอกับการรักษาเอกภาพของไทย
นอกจากนี้ไอติมยังยกประเด็นที่มี “ยอดผี” มีพลทหารถูกนำไปใช้งานในลักษณะที่ไม่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง มีชื่ออยู่ในค่ายแต่ตัวไม่อยู่ เป็นต้น
อีกประเด็นคือ ก้าวไกลจะมีนโยบายจูงใจให้ผู้สมัครทหารที่มาด้วยความเต็มใจ โดยจะเพิ่มเรื่องสวัสดิการและสวัสดิภาพของพลทหาร เงินเดือนไม่โดนหัก กำจัดความรุนแรงในค่ายทหาร และการยกเลิกการเกณฑ์จะทหารจะช่วยกระตุ้นแรงจูงใจกองทัพให้เกิดการปฏิรูปตนเอง เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของพลทหาร
ไอติมยังกล่าวอีกว่ามีการพูดคุยเรื่องยกเลิกเกณฑ์ทหาร กับหลายบุคคลที่มาจากกองทัพโดยตรง ยืนยันว่านโยบายนี้ไม่ได้เป็นปฏิปักษ์กับกองทัพ โดยหลายฝ่ายมองว่าประชาชนจะมีเสรีภาพมากขึ้น ขณะเดียวกันประเทศก็มั่นคงมากขึ้นด้วย ซึ่งก้าวไกลให้ความสำคัญกับความมั่นคงของประเทศไม่น้อยกว่ารัฐบาลอื่น
ทางด้าน ไหม ศิริกัญญา ได้กล่าวเสริมว่า ก้าวไกลไม่ได้ต่อต้านการซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ เพียงแต่มองว่าควรนำไปใช้ให้ถูกที่ถูกทาง มีเหตุผลว่าทำไมควรเอาไม่ควรเอาในแต่ละเรื่อง ควรซื้อเท่าที่จำเป็น
ไอติมจะกล่าวสรุปว่าการซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ควรพิจารณา 3 เหตุผลใหญ่ ๆ คือ จำเป็นจริงไหม, หากจำเป็นจริงต้องโปร่งใส และพยายามผูกมัดเงื่อนไขในการสร้างงานในการโอนถ่าย
ก่อนที่ไอติมจะทิ้งท้ายว่าตนต้องการให้ 300 นโยบายเกิดขึ้นจริง และในฐานะรัฐบาลแรก การทำให้นโยบายที่หาเสียงไว้เกิดขึ้นจริงได้จะเป็นตัวชี้วัดความสำเร็จได้มากที่สุด และยืนระยะในทางการเมืองได้