สาวแชร์ประสบการณ์สั่งข้าวจานละ 59 บาท กินคำเดียวกลายเป็นราคา 3300 บาท กับเมนู ข้าวคลุกน้ำพริกกากหมู ที่ไม่มีวันลืม
อุทาหรณ์เรื่่องนี้เป็นการย้ำเตือนให้รู้ว่า เหตุการณ์ไม่คาดฝันมักเกิดขึ้นได้ทุกสถานกา่รณ์จริงๆ ไม้เว้นแม้กระทั่งกรณีของหญิงสาวรายหนึ่งที่ได้ตัดสินใจบรรจงสั่งข้าวมื้อโปรดมา 1 อิ่ม เป็นเมนู “ข้าวคลุกน้ำพริกกากหมู” ซึ่งตกราคาจานละ 59 บาท โดยหลังจากสั่งอาหารเสร็จก็เดินไปซื้ออย่างอื่น โดยที่ไม่รู้ตัวว่าจุดเริ่มต้นของหายนะฉบับย่อมกำลังจะมาเยือนเธอในรูปแบบของจานข้าว
ทั้งนี้ สาวเจ้าของเรื่องได้ออกมาเปิดเผยเรื่องนี้ไว้เมื่อวาน (11 เม.ย.66) ผ่านกลุ่มเฟซบุ๊ก พวกเราคือผู้บริโภค โดยเหตุการณ์ต่อจากที่เจ้าของข้าวคลุกน้ำพริกกลับมาจากไปเดินเลือกซื้อของฆ่าเวลา เธอก็มาพบว่า มนูอาหารที่เธอสั่งไว้นั้นมีกับข้าวเพิ่มเข้ามมา 2 อย่าง คือ “ปลาทู” กับ “ไข่ต้ม”
ตอนแรกเจ้าของเรื่องไม่เข้าใจว่ากับข้าว 2 อย่างนี้ ถูกใส่เพิ่มมาเนื่องจากสาเหตุอะไร กระทั่งภายหลังก็เข้าใจว่าเป็นบริการเสริม เพิ่มท้อปปิ้งให้กับอาหารของลูกค้า
อย่างไรก็ตามวินาทีสำคัญมาเกิดระทึกเอาตอนที่ลูกค้าผู้บริโภคสาวได้กัดกินเมนูที่สั่งเข้าไปคำแรก โดยในโพสต์เธอระบุ สิ่งที่กินเข้าไปน่าจะเป็นข้าวกับน้ำพริก และทันใดเธอก็รู้สึกมีอะไรทิ่มอยู่ในลำคอ ! พยายามไอ แต่ก็กลายเป็นอ้วกออกมาแทน
เจ้าของเรื่องย้ำตอลดว่า เป็นอาการเจ็บที่ เจ็บมาก ยิ่งพยายามไอออก ก็จะยิ่งเจ็บทวีคูณ จนเหตุการณ์ดำเนินมาถึงจังหวะที่ทางเจ้าของร้านรีบปรี่เข้ามาดูจึงได้ยินสิ่งแจ้งเตือนจากทางลูกค้าว่า “ก้างปลาติดคอ” ทำให้นาทีถัดมาเจ้าของร้านที่คล้ายกำลังอยู่ในอาการงุนงง ดูเหมือนจะไม่เข้าใจดีนักว่า น้ำพริกกากหมูมีก้างปลาได้อย่างไร ? แถมลูกค้าที่กำลังเผชิญเคราะห์กรรมตรงหน้าก็ยังไม่ได้รับประทานเนื้อปลาเข้าไปด้วยซ้ำ
สุดท้ายอ้างอิงจากโพสต์ต้นเรื่อง ทางร้านตัดสินใจแก้ปัญหาด้วยการหาอย่างอื่นมาให้กินแทน เป็นคะน้าหมูกรอบ พร้อมกับขอโทษ รวมถึงซื้อข้าวเหนียวมาให้กลืน แต่ไว่าจะยังไง ก้างที่ติดคออยู่ก็ไม่ยอมลง ยิ่งกลืนยิ่งเจ็บ
ตื่นเช้ามาก็ยังมีอาการปวดมาก จนสุดท้ายเรื่องราวไม่คาดฝันนี้ก็ต้องไปถึงมือหมอในที่สุด โดยหลังผ่านกระบวนการรักษานี้จึงสรุปได้ว่า ก้างปลาตัวการสำคัญของเรื่องดันไปปักและทิ่มเอาเข้าตรงบริเวณทอนซิลพอดิบพอดี การกลืนหหรือคายออกเลยทำได้ยาก แถมถ้าไม่มาหาหมอ สาวสั่งข้าวคลุกน้ำพริกกากหมูแต่ดันเจอก้างปลาติดคอเคสนี้จะต้องทนทรมานไปแบบนั้น
สุดท้ายเบ็ดเสร็จ สาวผู้ฟาดเคราะห์ของเรา ต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาลไปประมาณ 3 พันกว่าบาท โชคดีตัวผู้ประสบเหตุมีประกันจึงไม่เสียสตางค์แม้แต่บาทเดียวอย่างไรก็ตามหญิงสาวเจ้าของเรื่องก็ยังคงอยากจะเอาเรื่องราวที่เธอไปประสบมทาโดยตรงนี้มาแจ้งเตือนาังคมเพื่อเป็นอุทาหรณ์มให้กับทั้งผู้บริโภค และทางด้านของผู้ประกอบการร้านอาหารเอง ที่ต้องมีความละเอียดในทุกๆ กระบวนการผลิต หรือ รังสรรค์เมนูโปรดตามแต่อัธยาศัยของลูกค้า โดยที่แม้แต่ความเสี่ยงเล็กๆ น้อย ซึ่งหากประเมินแล้วว่าอาจจะเกิดขึ้นได้ ทางผู้ประกอบการก็ควรจะคำนึงถึงวิธีตัดไฟตั้งแต่ต้นลมไว้เสมอ เช่นเดียวกับที่ปแม้จะมีการเตรียมพร้อมแค่ไหน ก็ต้องหมั่นเพิ่มเติมความรอบคอบไว้เพื่อรองรับสถนการณืฉุกเฉอน ไที่ไม่คสาดฝัน เฉหเช่นกรณีนี้ นั่นเอง.
