แม่เล่าอุทาหรณ์ ลูกตาบอดสนิท หลังถูกญาติติดเริมจูบ หวั่นเกิดซ้ำกับเด็กคนอื่น

เตือนภัย เด็ก 2 ขวบ ตาบอดถาวร เพราะติดเชื้อจากจูบของญาติติดเริมมีแผลเย็น พ่อแม่ต้องลางานพาลูกรักษา เจาะลึกอันตรายไวรัสเริมในทารก พร้อมคำแนะนำจาก NHS เพื่อห้องกันไม่ให้เกิดเหตุซ้ำ
เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2058 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานข่าวสะเทือนใจ เด็กชาย จูวัน (Juwan) วัยเพียง 2 ขวบ ต้องสูญเสียการมองเห็นในดวงตาข้างซ้ายอย่างถาวร หลังติดเชื้อไวรัสเริมร้ายแรงจากการถูกจูบจากญาติ ผู้ที่มีอาการแผลเย็น คุณแม่ของเด็กชายรายดังกล่าวได้ออกมาเตือนเรื่องราวนี้เป็นอุทาหรณ์ให้กับผู้ปกครองท่านอื่น ๆ เรียกร้องให้ พ่อ แม่ และญาติสนิทใกล้ชิดได้ตระหนักถึงอันตรายจากการสัมผัสใกล้ชิดกับเด็กทารก ห้ามทำพฤติกรรมเสี่ยง พร้อมทั้งให้ข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับความเสี่ยงของโรคเริมในเด็กเล็ก คำแนะนำจาก NHS เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้กับบุตรหลานของท่าน
ตามรายงานระบุว่า เด็กชายวัย 2 ขวบ จูวัน (Juwan) สูญเสียการมองเห็นในดวงตาข้างซ้ายหลังจากการถูกคนรู้จักจูบ ซึ่งเป็นการแพร่เชื้อไวรัสเริมเข้าสู่ลูกตา ตุ่มพองที่เกิดขึ้นได้นำไปสู่การเกิดรูขนาด 4 มิลลิเมตรที่กระจกตา ซึ่งเป็นชั้นนอกที่ใสของดวงตา
บาดแผลเปิดนี้ได้นำไปสู่การติดเชื้อซ้ำหลายครั้ง และแม้ว่าทีมแพทย์จะพยายามอย่างสุดความสามารถแล้วก็ตาม ความเสียหายก็รุนแรงเกินกว่าจะแก้ไขได้ ทำให้เด็กชายสูญเสียการมองเห็นในที่สุด แพทย์จำเป็นต้องเย็บเปลือกตาของ จูวัน (Juwan) เพื่อปกป้องส่วนที่เหลือของอวัยวะดังกล่าว
ขณะนี้ครอบครัวของเด็กชายกำลังออกมาเปิดเผยเรื่องราว เพื่อช่วยเหลือผู้อื่นให้หลีกเลี่ยงชะตากรรมเดียวกัน ในขณะที่พวกเขากำลังเตรียมพร้อมสำหรับการผ่าตัดที่ซับซ้อนเพื่อหวังว่าจะสามารถกอบกู้สายตาของเด็กชายได้

จุดเริ่มต้นของการติดเชื้อ
เคราะห์ร้ายของ จูวัน เริ่มขึ้นในเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว เมื่อเด็กชายซึ่งตอนนั้นอายุ 16 เดือน มีอาการที่พ่อแม่สงสัยในตอนแรกว่าเป็นการติดเชื้อที่ตาธรรมดา พวกเขาได้ขอความช่วยเหลือจากแพทย์ประจำตัว ซึ่งได้ให้ยาปฏิชีวนะและส่งครอบครัวกลับบ้าน
แต่ มิเชล ไซมาน (Michelle Saaiman) ผู้เป็นแม่ของจูวั นซึ่งมาจากประเทศนามิเบีย ได้เล่าถึงช่วงเวลาที่ตนเองรู้ว่ามีบางสิ่งผิดปกติร้ายแรงเกิดขึ้นกับลูกชายว่า “สองวันต่อมา เราสังเกตเห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติร้ายแรงกับดวงตา มันดูเหมือนมีบางสิ่งกำลังงอกอยู่ข้างในลูกตาของเขา” เธอเขียนในเฟซบุ๊ก
“เราตระหนักว่าเขาไม่รู้สึกอะไรในดวงตาเลย เพราะเขาเอานิ้วจิ้มเข้าไปในตาและข่วนลูกตาโดยไม่กระพริบตาเลยแม้แต่น้อย”
“มันเป็นประสบการณ์ที่เจ็บปวดที่สุดที่ได้มองลูกน้อย และเห็นบาดแผลเปิดขนาด 4 มิลลิเมตรในดวงตาของเขา”

การวินิจฉัยและรักษา
ผลการตรวจและการวินิจฉัยในที่สุดก็เผยให้เห็นว่า จูวันติดเชื้อเริมที่ดวงตา ซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัสเฮอร์ปีส์ซิมเพล็กซ์ (herpes simplex virus) เนื่องจากผลการตรวจเชื้อไวรัสของพ่อแม่เป็นลบ แพทย์จึงสันนิษฐานว่ามีใครบางคนที่กำลังมีอาการของแผลเย็น (fever blister) ซึ่งเป็นอีกชื่อเรียกของโรคเริม ได้แพร่เชื้อไวรัสไปยังเด็กชายโดยไม่รู้ตัวผ่านการจูบ
นาง ไซมาน (Saaiman) กล่าวว่า “เชื้อไวรัสเริมนั้น มีความเป็นไปได้มากที่สุดที่จะแพร่กระจายผ่านการจูบลูกน้อยของเราที่บริเวณดวงตาหรือใกล้เคียง หรือที่มือของเขา ซึ่งต่อมาเขาก็เอามือไปสัมผัสที่ดวงตา”
คุณแม่วัย 36 ปี ได้บอกกับสำนักข่าว Metro ว่า ในตอนแรกตนเองแทบไม่เชื่อว่าการวินิจฉัยนั้นเป็นเรื่องจริง
“ฉันมองหน้าหมอด้วยความสงสัยว่านี่คือวันที่ 1 เมษายนหรือเปล่า เพราะฉันคิดว่ามันเป็นเรื่องตลกในวัน April Fool’s Day” เธอกล่าว

ทีมแพทย์ใช้เวลาหลายสัปดาห์ในการควบคุมการติดเชื้อของเด็กชาย แต่ถึงตอนนั้นความเสียหายต่อดวงตาก็เกิดขึ้นแล้ว
“ถึงตอนนั้น เชื้อเริมได้สร้างความเสียหายให้กับกระจกตาของเขามาก จนกระทั่งเขาสูญเสียความรู้สึกทั้งหมดในดวงตา และมองไม่เห็นอะไรเลย เขามองไม่เห็นโดยสมบูรณ์”
“นั่นหมายความว่าสมองไม่รับรู้ถึงดวงตาอีกต่อไป และหยุดส่งสัญญาณไปยังดวงตา เจลที่เคยปกป้องดวงตาได้ระเหยไป และดวงตาก็แห้ง”
ขณะนี้ครอบครัวหวังว่าการผ่าตัดที่จะเกิดขึ้นเพื่อย้ายเส้นประสาทจากขาไปยังเบ้าตาของเขา เพื่อฟื้นฟูการเชื่อมต่อระหว่างลูกตากับสมองจะประสบความสำเร็จ หากการย้ายเส้นประสาทได้ผล ก็อาจทำให้จูวันมีสิทธิ์ได้รับการปลูกถ่ายกระจกตา ซึ่งอาจช่วยให้เขากลับมามองเห็นได้
นาง ไซมาน (Saaiman) กล่าวว่า “ไม่ว่าการมองเห็นจะสามารถกลับคืนมาได้หรือไม่นั้น ยังไม่ทราบในขณะนี้ แต่เราได้ทำใจแล้วว่าตาข้างซ้ายยองเขาอาจบอดถาวร”
“สิ่งสำคัญที่สุดของเราในขณะนี้คือการรักษาสภาพดวงตาไว้ และป้องกันการติดเชื้อเพิ่มเติม”

เตือนภัยผู้ปกครองและญาติสนิท
เธอได้เรียกร้องให้ผู้ปกครองดำเนินการเพื่อป้องกันไม่ให้บุตรหลานต้องประสบกับความยากลำบากเช่นเดียวกัน
“ฉันรู้สึกว่าจำเป็นต้องทำให้ผู้คนเข้าใจว่าทำไมคุณถึงไม่ควรจูบลูกของใครบางคน” เธอกล่าว
“นี่คือสิ่งที่ฉันเคยอ่านมานับพันครั้ง แต่เราไม่เคยใส่ใจกับมันมากนัก – ฉันหมายถึง สิ่งที่แย่ที่สุดที่จะเกิดขึ้นคืออะไร ใช่ไหม? ผิดแล้ว ฉันคิดผิดมาก”
“ข้อคิดจากเรื่องนี้คือ อย่าให้ใครจูบลูกของคุณ ไวรัสที่ดูเหมือนไม่มีอะไรนี้ได้สร้างความเจ็บปวดและความเสียหายมากมาย มันไม่คุ้มค่าเลยจริง ๆ”
เนื่องจากพ่อแม่ของเด็กชายจูวัน จำเป็นต้องลาพักงานเพื่อเดินทางกับลูกชายไปพบผู้เชี่ยวชาญในประเทศแอฟริกาใต้ ซึ่งเป็นประเทศเพื่อนบ้าน พวกเขาจึงได้ตั้งกองทุนเพื่อช่วยเหลือค่าใช้จ่ายในการเดินทางและการรักษา
อันตรายจากไวรัสแผลเริมที่ริมฝีปาก (Cold Sore)
NHS (National Health Service) เตือนว่า หากทารกติดเชื้อเริมจากพ่อแม่หรือผู้ใหญ่อื่นๆ อาจไม่แสดงอาการในลักษณะของผื่น แต่เด็กอาจแสดงอาการ เช่น ซึมหรือหงุดหงิด ไม่ยอมกินอาหาร มีไข้สูง ผู้ปกครองควรรีบดำเนินการหากสังเกตเห็นอาการเหล่านี้ เนื่องจากเด็กเล็กอาจมีอาการทรุดลงอย่างรวดเร็ว ผู้ปกครองควรติดต่อ NHS 111 หรือแพทย์ประจำตัวเพื่อขอคำแนะนำ หากทารกอ่อนปวกเปียก ไม่ตอบสนอง ปลุกตื่นยาก มีปัญหาในการหายใจ เริ่มร้องคราง หรือลิ้นหรือผิวหนังเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงิน ควรโทรแจ้ง 999 ทันที (เบอร์โทรสำหรับประเทศไทยคือ 1669)

แผลเริมที่ริมฝีปาก (Cold Sore) ซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัสเฮอร์ปีส์ซิมเพล็กซ์ เป็นเรื่องปกติ โดยมีผลการศึกษาบางชิ้นระบุว่าชาวอังกฤษ 7 ใน 10 คนมีเชื้อนี้อยู่ในร่างกายตลอดเวลา แม้ว่าแผลเย็นที่กำลังมีอาการจะไม่ก่อให้เกิดปัญหาใด ๆ สำหรับผู้ใหญ่ส่วนใหญ่ โดยตุ่มพองจะหายได้เอง หรือรักษาได้ด้วยครีมต้านไวรัสที่ซื้อได้ตามร้านขายยา
อย่างไรก็ตาม แผลเริมที่ริมฝีปาก (Cold Sore)อาจเป็นอันตรายอย่างยิ่งสำหรับทารก เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันของพวกเขายังพัฒนาไม่เต็มที่ หากปล่อยให้เชื้อแพร่กระจายโดยไม่ได้รับการรักษา อาจเริ่มส่งผลกระทบต่ออวัยวะสำคัญ ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะชักและถึงขั้นเสียชีวิตได้
ผู้ปกครองควรทราบว่าทารกในช่วงสี่สัปดาห์แรกของชีวิตเป็นช่วงที่อ่อนแอที่สุดต่อการติดเชื้อเริมอย่างรุนแรง ผู้ใหญ่ที่มีแผลเย็นไม่ควรจูบทารก และควรปฏิบัติตามสุขอนามัยในการล้างมืออย่างสม่ำเสมอขณะดูแลทารก เพื่อลดโอกาสในการแพร่เชื้อไวรัส
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
- รู้จักโรค MLD เปิดสาเหตุ-วิธีรักษา ป้องกันภัยเงียบคร่าชีวิตเด็ก
- อย่ามองข้าม จูบเด็กทารก ลูกเสี่ยงติดเชื้อไวรัส อันตรายถึงขั้นเสียชีวิต
- ไข้อีดำอีแดง ระบาดหนัก หมอแล็บเตือน เด็กเล็กติดอื้อ รร.ปิดสอนด่วน
อ้างอิง: dailymail, Michelle Saaiman