ปิดตำนาน! ‘ข้าวโกดัง 10 ปี’ เคาะราคาประมูลขาย 19 บาท/กก. รวม 286 ล้านบาท
วีเอท อินเตอร์เทรดดิ้ง คว้าอันดับ 1 ผู้ยื่นราคาสูงสุด ข้าวโกดัง 10 ปี รวม 286 ล้านบาท หรือ 19 บาท/กก. ปิดตำนานโครงการจำนำข้าว
องค์การคลังสินค้า (อคส.) เปิดให้บริษัทที่ผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติจำนวน 7 ราย เข้ายื่นซองเสนอราคาซองประมูลข้าวเก่า 10 ปี โครงการรับจำนำข้าวปี 56/57 ปริมาณ 15,000 ตัน จาก 2 คลังในจังหวัดสุรินทร์ ณ ห้องประชุมองค์การคลังสินค้า (10601) ชั้น 6 ตั้งแต่เวลา 09.00-12.00 น. โดยในการเข้ายื่นซองเสนอราคานั้นมี 6 จาก 7 บริษัทที่ผ่านคุณสมบัติ เข้ายื่นประมูลในวันนี้ (17 มิ.ย. 67)
จากนั้นคณะกรรมการได้มีการเปิดซองประมูล ปราฏว่า คลังสินค้าบริษัท พูนผลเทรดดิ้ง จำกัด หลัง 4 ประมาณข้าวรวม 3,356 ตัน มีผู้ยื่นซองเสนอซื้อครบทั้ง 6 ราย ได้แก่ บริษัท วีเอท อินเตอร์เทรดดิ้ง จังหวัดกำแพงเพชร เสนอราคาประมูลที่ 64.01 ล้านบาท บริษัท ธนสรร ไรซ์ จังหวัดชัยนาท เสนอราคาประมูลที่ 60.4 ล้านบาท บริษัท สหธัญ จังหวัดนครปฐม ยื่นประมูลในราคา 62.7 ล้านบาท บริษัท บีเอ็นเค การเกษตร 2024 จังหวัดนครสวรรค์ เสนอราคาประมูลที่ 53.7 ล้านบาท บริษัท เอส.เอส.เอ็ม.อาร์.การเกษตร จังหวัดนครสวรรค์ เสนอราคาประมูลที่ 56.08 ล้านบาทบริษัท ทรัพย์แสงทอง ไรซ์ จากจังหวัดสุพรรณบุรี เสนอราคาประมูลที่ 40.9 ล้านบาท
ส่วนคลังสินค้ากลางกิตติชัย (หลัง 2) ปริมาณรวม 11,656 ตัน มีผู้ยื่นซองเสนอราคา จำนวน 4 ราย ได้แก่ บริษัท วีเอท อินเตอร์เทรดดิ้ง จังหวัดกำแพงเพชร เสนอราคาประมูลที่ 222.9 ล้านบาท บริษัท ธนสรร ไรซ์ จังหวัดชัยนาท เสนอราคาประมูลที่ 209.8 ล้านบาท บริษัท บีเอ็นเค การเกษตร 2024 จังหวัดนครสวรรค์ เสนอราคาประมูลที่ 186.5 ล้านบาท บริษัท ทรัพย์แสงทอง สุพรรณบุรี เสนอราคาประมูลที่ 182.04 ล้านบาท
หลังเปิดซองประมูลราคาทั้ง 2 คลัง ผู้ที่เสนอราคาสูงสุดทั้ง 2 คลัง คือ บริษัท วีเอท อินเตอร์เทรดดิ้ง จังหวัดกำแพงเพชร รวมราคาประมูลทั้ง 2 คลัง กว่า 286 ล้านบาท หากคำนวณแล้วจะเฉลี่ยประมูลไปในราคากิโลกรัมละ (กก.) 19 บาท
โดยทางคณะทำงานรับ-เปิดซองและต่อรองราคาข้าวในสต๊อกของรัฐ ได้ต่อรองราคา เพื่อให้ได้ราคาประมูลที่สูงขึ้นอีก ทั้งนี้ จะมีการประกาศชื่อบริษัทที่ชนะการประมูล ผ่านเว็บไซต์ อคส. ที่ www.pwo.co.th ไม่เกินวันที่ 21 มิ.ย.นี้ ซึ่งกำหนดต้องทำสัญญาซื้อขายภายใน 15 วันนับตั้งแต่ อคส.แจ้งผลเป็นทางการ
นายศุภชัย วรอภิญญาภรณ์ ประธานกรรมการ บริษัท ธนสรรไรซ์ จำกัด หนึ่งในผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ กล่าวว่า การประมูลข้าวครั้งนี้ถือว่ามีความคึกคัก มีผู้เข้าร่วมประมูลหลายรายแสดงให้เห็นว่าทุกบริษัทมองว่าข้าวในคลังยังมีคุณภาพใช้ได้สามารถนำไปขายต่อได้ซึ่งขณะนี้ตลาดข้าวมีความต้องการสูง และราคาข้าวในตลาดอยู่ในเกณฑ์ดี โดยข้าวขาว 5 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นข้าวใหม่อยู่ที่กิโลกรัมละ 21.50 บาท ในส่วนของบริษัทที่มาประมูลครั้งนี้คือส่งออกเป็นหลัก โดยตลาดที่มีความต้องการข้าวได้แก่ บราซิล อิรัก
นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า หลังจากการเปิดซองในช่วงบ่าย จะมีกระบวนการต่อรองราคา หากทำได้เร็ว คาดว่าจะเสร็จสิ้นภายในวันนี้ ซึ่งการที่มีผู้สนใจมาซื้อข้าว ถือเป็นตัวสะท้อนได้ดีว่า ข้าวไม่ได้มีปัญหาอะไร แม้จะเก็บมานาน แต่ขึ้นอยู่กับวิธีการจัดเก็บ และผู้ซื้อเอง ก็ต้องนำไปปรับปรุงต่อ
ส่วนในเรื่องของราคา ไม่ได้มีการกำหนดราคาขั้นต่ำ เพราะต้องการให้โอกาสผู้ประกอบการประเมินเอง และวัตถุประสงค์ที่จะนำไปใช้ แต่จะใช้กระบวนการต่อรองเพื่อให้ได้ราคาที่ดีที่สุด ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ มีราคาในใจ ที่เหมาะสมกับความเป็นจริงของสภาพข้าว จากก่อนหน้านี้ ที่มีการด้อยค่า ขายเป็นอาหารสัตว์กิโลกรัมละ 4-5 บาทเท่านั้น แต่ยังเชื่อมั่นว่าจะได้มากกว่านี้แน่นอน ซึ่งหากขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 15-18 บาท น่าจะมีมูลค่ากว่า 400 ล้านบาท หักค่าใช้ต่างๆแล้ว คาดว่าจะนำเงินกลับเข้ารัฐ ได้ไม่ต่ำกว่า 200 ล้านบาทแน่นอนทั้งนี้ มั่นใจว่าการขายข้าวได้จบภายในวันนี้ ถือเป็นการปิดตำนานโครงการจำนำข้าวได้ทั้งหมด ซึ่งเป็นการทำงานตามหน้าที่ โดยเฉพาะการสะสางงาน ที่คั่งค้างอยู่ ในฐานะที่มานั่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
ภายหลังการประมูลเสร็จจะมีการต่อรองเพิ่มราคาให้สูงขึ้นเพื่อประโยชน์ของประเทศสูงสุด โดยจะดำเนินการให้เสร็จโดยเร็วและคณะกรรมการจะสรุปผลการประมูลเสนอผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้า เพื่ออนุมัติและแจ้งผู้ชนะการประมูลเพื่อมาทำสัญญาซื้อ-ขายกับองค์การคลังสินค้า และชำระเงินมอบข้าวสาร โดยองค์การคลังสินค้าได้กำหนดระยะเวลาขนย้ายให้แล้วเสร็จภายใน 30 วันหลังการเซ็นสัญญา
ส่วนที่สงสัยว่าจะเอาข้าวไปไหนและจะกระทบกับอุตสาหกรรมข้าวในภาพรวม หรือไม่ ขอชี้แจงว่าไม่กระทบเนื่องจากข้าวหอมมะลิฤดูกาลใหม่ยังไม่ออก จะให้ผลผลิตในเดือนพฤศจิกายนนี้ ซึ่งขณะนี้อยู่นอกฤดูกาลและปริมาณข้าวสารในการประมูลครั้งนี้ถือว่าไม่มาก เมื่อเทียบกับจำนวนที่ไทยส่งออกกว่า 8,000,000 ตันต่อปี และข้าวหอมมะลิที่ประมูลในครั้งนี้ได้ผ่านการตรวจจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ทั้งด้านกายภาพและคุณภาพไม่พบสารก่อมะเร็งไม่มีสารรมยาตกค้างมีคุณภาพทางโภชนาการ
สำหรับกรณีที่ ผู้ชนะการประมูลจะนำไปส่งออกจะต้องทำการปรับปรุงคุณภาพข้าวให้ได้ตามมาตรฐาน ข้าวหอมมะลิของกรมการค้าต่างประเทศ ซึ่งมีการกำหนดมาตรฐานไว้ และสำหรับการจำหน่ายในประเทศก็จะต้องผ่านมาตรฐานของกรมการค้าภายในและยังมีหน่วยงาน ตรวจสอบ เช่น อย. เป็นต้น.
ซึ่งผลจากการดำเนินการครั้งนี้จะทำให้มีรายได้เข้ารัฐไม่น้อยกว่า กว่า 286 ล้านบาท แสดงให้เห็นว่าประเทศไทยมีการบริหารข้าวอย่างเป็นมาตรฐาน ตั้งแต่การปลูก การเลือกเมล็ดพันธุ์ การเก็บเกี่ยว การเก็บรักษา การขัด การสีข้าวและการปรับปรุงคุณภาพ สามารถเชื่อมั่นในคุณภาพข้าวไทยได้
แหล่งข่าวจากวงการค้าข้าวเปิดเผยถึงกรณีการประมูลข้าว10ปี ขององค์การคลังสินค้า ที่ผู้ชนะมีการเสนอราคาสูงถึง 19 บาทต่อกิโลกรัม ว่า เป็นเรื่องเหลือเชื่อ เพราะราคาที่ประมูลได้ไม่สมเหตุสมผลสูงเกินจริง เนื่องจากข้าวหอมมะลิในสต๊อกรัฐบาลล็อตนี้ เป็นข้าวที่เก็บมานานถึง 10 ปี ไม่มีความหอมหลงเหลืออยู่แล้ว คุณภาพจึงเทียบเท่ากับข้าวขาวปกติ แต่เมื่อเปรียบเทียบราคา ข้าวขาว 5% ข้าวใหม่คุณภาพดีในปัจจุบันพบว่าราคาอยู่ที่ 21.50 บาท ต่อกก. ขณะที่ข้าวซึ่งมีอายุมากถึง 10 ปี ในสต๊อกรัฐบาล สามารถประมูลขายได้ในราคาสูงถึง 19 บาท ถือว่าเป็นราคาที่ผิดปกติ เพราะหากมีการบวกรวมค่าขนส่ง ค่าปรับปรุงคุณภาพข้าวแล้วจะทำให้ข้าว 10 ปีมีต้นทุนที่สูงกว่าข้าวขาวใหม่ หากเป็นพ่อค้าจริงๆก็คงซื้อข้าวใหม่ในตลาดไปขายดีกว่าไปประมูลข้าวเก่า 10ปีคุณภาพไม่ดีที่ต้องมีภาระค่าใช้จ่ายอื่นอีก
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง