เข้าสู่ช่วงวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2566 นี้ก็จะเป็นวันวาเลนไทน์แล้ว หลายคนอาจจะสงสัยว่า ทำไมวันวาเลนไทน์ต้องให้ช็อกโกแลต? ทำไมถึงไม่เป็นขนมชนิดอื่นล่ะ ขนมหวานที่อร่อยกว่านี้มีอีกมากมาย แล้วช็อกโกแลตมีความสำคัญอย่างไรบ้าง มีที่มาอย่างไรกันนะ
วันนี้ The Thaiger จะมาตอบทุกคำถาม เคลียร์หมดทุกข้อสงสัย พร้อมยกธรรมเนียมที่สำคัญของการมอบของขวัญในวันแห่งความรักนี้อีกด้วย ถ้าพร้อมแล้วมาอ่านกันได้เลยค่ะ
วาเลนไทน์ ทำไมต้องให้ช็อกโกแลต?
ที่มาของวันวาเลนไทน์
จุดเริ่มต้นของเทศกาลแห่งความรักอย่างวันวาเลนไทน์ เริ่มขึ้นในสมัยโรมันช่วงจักรพรรดิคลอดิอุสที่ 2 ใน ค.ศ. 496 กรุงโรมตกอยู่ในสภาวะสงครามอยู่บ่อยครั้ง อีกทั้งบ้านเมืองขาดแคลนทหารเป็นจำนวนมาก จักรพรรดิจึงสั่งเกณฑ์ผู้ชายทุกคนไปออกรบ พร้อมออกกฎหมายห้ามให้มีการหมั้นหมายและสมรสเกิดขึ้น เพื่อให้ผู้ชายไปออกรบกับข้าศึกโดยปราศจากความกังวลใด ๆ หากใครฝ่าฝืนจะมีโทษถึงขั้นประหารชีวิตเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม คู่รักหลายคู่ก็ได้แอบลักลอบจัดพิธีสมรสกันโดยมี นักบุญวาเลนตินุส (Saint Valentine) ทำหน้าที่ประกอบพิธีแต่งงานให้ เมื่อจักรพรรดิคลอดิอุสที่ 2 ทราบ จึงสั่งประหารชีวิตนักบุญวาเลนตินุสในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นวันวาเลนไทน์ในปัจจุบัน
วาเลนไทน์ ทำไมต้องให้ช็อกโกแลต?
ที่มาของการมอบช็อกโกแลตให้กับคนรักในวันวาเลนไทน์ เริ่มต้นในสมัยโรมันที่ค่านิยมเรื่องความรักของชายหญิงถือเป็นเรื่องต้องห้าม การจะมีคู่รักได้ต้องอาศัยการหลบ ๆ ซ่อน ๆ น้อยครั้งที่จะได้พบปะกัน หญิงสาวจึงมอบช็อกโกแลตให้เป็นของขวัญแทนความรัก เนื่องจากสมัยนั้นช็อกโกแลตเป็นสิ่งของที่มีคุณค่า และเป็นของหายาก มีราคาแพง จำกัดเฉพาะชนชั้นสูงเท่านั้น
จนกระทั่งในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง ช็อกโกแลตได้พัฒนาเป็นสัญลักษณ์แห่งความรัก จากตำนานเล่าขานของ มอนเตซูมา นักรบผู้เก่งกาจแห่งสเปน มักจะดื่มช็อกโกแลตเป็นประจำเสมอ ก่อนจะไปหาสาว ๆ ผู้เป็นที่รักของเขา สันนิษฐานได้ว่า เขามักจะดื่มช็อกโกแลตเพื่อกระตุ้นอารมณ์รักนั่นเอง
ประโยชน์ของช็อกโกแลต มีมากกว่าที่ทุกคนคิด
ในตัวของช็อกโกแลต มีส่วนประกอบสำคัญเรียกว่า Flavonoid เป็นสารที่ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ และป้องกันการก่อตัวของไขมันในเส้นเลือด ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ ป้องกันโรคหัวใจและการเกิดมะเร็ง ที่สำคัญยังช่วยชะลอความแก่อีกด้วย นอกจากนี้ในช็อกโกแลตยังมีสารบางชนิดที่สามารถไปกระตุ้นให้สมองหลั่งสารเอ็นโดรฟิน (Endorphin) ออกมา ช่วยให้อารมณ์ดีและลดความเครียดลง
แม้ช็อกโกแลตจะมีประโยชน์กับร่างกาย แต่หากทานในปริมาณที่มากเกินไปก็จะได้รับน้ำตาลและไขมันอิ่มตัวในปริมาณสูง ซึ่งส่งผลเสียกับร่างกาย ดังนั้น ควรทานในปริมาณที่เหมาะสม คือ 20-30 กรัม หรือ 1 ชิ้นเล็กต่อวัน และควรเลือกช็อกโกแลตที่มีส่วนผสมของโกโก้อย่างน้อย 70% ขึ้นไป เนื่องจากจะมีส่วนประกอบของน้ำตาลน้อย และมีสารฟลาโวนอยด์สูง
ธรรมเนียมการมอบช็อกโกแลตของประเทศญี่ปุ่น
เทศกาลวาเลนไทน์ของญี่ปุ่น เริ่มต้นหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อผู้ผลิตขนมได้ออกกลยุทธ์ให้ผู้หญิงมอบช็อกโกแลตให้เจ้านายและแฟน ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2550 ทำให้ในปีต่อมาหญิงสาวได้ทำช็อกโกแลตออกมาให้ผู้ชายเพิ่มมากขึ้น จนกลายเป็นสัญลักษณ์ประจำวันวาเลนไทน์ของประเทศญี่ปุ่นในทุกปี ผู้หญิงญี่ปุ่นหลายล้านคนมอบขนมเคลือบช็อกโกแลต เพื่อแสดงความชอบ หลงรัก มิตรภาพ หรือความเคารพในอาชีพ
ทั้งนี้ ช็อกโกแลตแต่ละชนิดที่สาว ๆ ทำให้ก็มีความหมายไม่เหมือนกัน หากเป็นเพื่อนร่วมงานจะใช้ giri choco หรือ ช็อกโกแลตตามมารยาท ส่วน honmei choco หรือช็อกโกแลตจากใจจริง จะมอบให้กับแฟนซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งรักแท้นั่นเอง
เป็นยังไงกันบ้างสำหรับที่มาของ วันวาเลนไทน์ ทำไมถึงต้องให้ช็อกโกแลต หวังว่าทุกคนจะสนุกกับการมอบช็อกโกแลตให้คนสำคัญในวันวาเลนไทน์เพิ่มมากขึ้น ที่สำคัญควรทานของหวานในปริมาณที่เหมาะสม หากมากเกินไปจะทำให้เกิดโทษมากกว่าประโยชน์อีกนะ สุดท้ายนี้ ขอให้ทุกคนมีความสุขในวันวาเลนไทน์ 2566 นี้ค่ะ