ย้อน ‘คำถวายสัตย์ปฏิญาณ’ นายกฯ อิ๊ง ครั้ง ครม.1 ก่อนโดนสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่

ย้อน ‘คำถวายสัตย์ปฏิญาณ’ นายกฯ อิ๊ง ครั้ง ครม.1 เมื่อกันยายน 2567 ก่อนโดนศาลรัฐธรรมนูญ สั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ ในอีก 1 ปีต่อมา
เช้า 3 กรกฎาคม 2568 บริเวณตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาลคึกคัก รัฐมนตรีหน้าใหม่ ครม.อิ๊งค์ 2 ทยอยมาถึงจุดถ่ายรูปทำบัตรประจำตัวเวลา 08.00 น. ตรงตามกำหนด สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ซึ่งรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี เตรียมนำเข้าถวายสัตย์ปฏิญาณ หลังนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร โดนศาลรัฐธรรมนูญสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ ปมคลิปเสียงฮุนเซน ดูแลงานทุกจุดด้วยตนเอง
เวลา 09.45 น. รถตู้ของสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี (สลน.) เคลื่อนออกจากทำเนียบฯ มุ่งหน้า พระที่นั่งอัมพรสถาน เขตดุสิต เพื่อนำคณะรัฐมนตรีชุดใหม่เข้าเฝ้าถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก่อนเข้ารับหน้าที่เต็มรูปแบบ
หลังเสร็จภารกิจเช้า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีนัดพิเศษ เวลา 14.00 น. ห้อง 501 ชั้น 5 ทำเนียบฯ จะพิจารณา “คำสั่งแบ่งงาน” ให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีแต่ละคนรับผิดชอบภารกิจตามสภาพการณ์เร่งด่วน เช่น เศรษฐกิจ ปากท้องประชาชน และความมั่นคงชายแดน
หัวโต๊ะยังเป็น สุริยะ แต่ไฮไลต์อยู่ที่ข้อเสนอให้ ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย ก้าวขึ้นเป็น รองนายกรัฐมนตรีอันดับ 1 เพื่อทำหน้าที่ รักษาการนายกรัฐมนตรี ตลอดช่วงที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ถูกศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่

อ่านคำถวายสัตย์ฯ ปี 2567 สมัย นายกรัฐมนตรีแพทองธาร นำคณะรัฐมนตรี 1 เข้าเฝ้า
ย้อนกลับไป 6 กันยายน 2567 นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะนำคณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดใหม่ เข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่ ในเวลา 17.00 น. ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน
“ข้าพระพุทธเจ้า นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ขอถวายสัตย์ปฏิญาณว่า ข้าพระพุทธเจ้าจะจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ และจะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อประโยชน์ของประเทศและประชาชนทั้งจะรักษาไว้และปฏิบัติตามซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ”
ทั้งนี้ การถวายสัตย์ปฏิญาณ ถูกระบุไว้ในข้อกฎหมาย มาตรา 161 ของรัฐธรรมนูญ มีเจตนารมณ์ให้การถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์เป็นเรื่องที่คณะรัฐมนตรีในฐานะผู้กล่าวปฏญาณ ต้องกล่าวยืนยันต่อองค์ผู้ใช้อำนานอธิปไตย์ คือ พระมหากษัตริย์ เพื่อให้เกิดความไว้วางใจในการปฏิบัติหน้าที่ และต้องทำเบื้องหน้าพระพักตร์ เท่านั้น องค์ประกอบจึงต้องมีทั้ง ผู้ถวาย และ ผู้รับถวาย
การถวายสัตย์ปฏิญาณจึงเป็นการยืนยันความสัมพันธ์ระหว่าง “คณะรัฐมนตรี กับ พระมหากษัตริย์” ซึ่งมีบุคคล 4 ประเภท ที่ต้องถวายสัตย์ก่อนปฏิบัติหน้าที่ ได้แก่ 1. องคมนตรี 2. คณะรัฐมนตรี 3. ผู้พิพากษา 4. ตุลาการ
ต่างจากการ ปฏิญาณตน ซึ่งเป็นการสาบานตัวไม่ต้องมีผู้รับก็ได้ และเมื่อผู้รับไม่ได้อยู่ด้วย ปกติจึงใช้ถ้อยคำ หรือ ข้อความที่ตายตัว ไม่เปลี่ยนแปลง

กฎหมายการถวายสัตย์ปฏิญาณ แสดงความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์
เว็บไซต์หอสมุดรัฐสภา ระบุว่า การถวายสัตย์ปฏิญาณ หมายถึง การแสดงความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ ซึ่งทรงเป็นประมุขแห่งราชอาณาจักรไทย รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 กำหนดให้ผู้ดำรงตำแหน่งองคมนตรี รัฐมนตรี ผู้พิพากษาและตุลาการ ต้องกระทำก่อนเข้ารับหน้าที่
การถวายสัตย์ปฏิญาณต้องกระทำต่อหน้าพระพักตร์ขององค์พระมหากษัตริย์ และการถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์ตามรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายพระมหากษัตริย์จะโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้กระทำต่อพระรัชทายาทซึ่งทรงบรรลุนิติภาวะแล้วหรือต่อผู้แทนพระองค์ก็ได้ ในระหว่างที่ยังมิได้ถวายสัตย์ปฏิญาณจะโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ผู้ซึ่งต้องถวายสัตย์ปฏิญาณปฏิบัติหน้าที่ไปพลางก่อนก็ได้
ทั้งนี้ การถวายสัตย์ปฏิญาณมีความแตกต่างกับการปฏิญาณตน คือ การถวายสัตย์ปฏิญาณต้องกระทำต่อหน้าพระพักตร์ขององค์พระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นการเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายสัตย์ปฏิญาณ ในขณะที่การปฏิญาณตนเป็นการกระทำต่อหน้าพระบรมสาทิสลักษณ์หรือพระบรมฉายาลักษณ์ขององค์พระมหากษัตริย์
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 บัญญัติให้มีการถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่ไว้ในมาตรา ดังต่อไปนี้
มาตรา 13 ก่อนเข้ารับหน้าที่ องคมนตรีต้องถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์ด้วยถ้อยคำ ดังต่อไปนี้
“ข้าพระพุทธเจ้า (ชื่อผู้ปฏิญาณ) ขอถวายสัตย์ปฏิญาณว่า ข้าพระพุทธเจ้าจะจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ และจะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อประโยชน์ของประเทศและประชาชนทั้งจะรักษาไว้และปฏิบัติตามซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ”
มาตรา 161 ก่อนเข้ารับหน้าที่ รัฐมนตรีต้องถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์ด้วยถ้อยคำ ดังต่อไปนี้
“ข้าพระพุทธเจ้า (ชื่อผู้ปฏิญาณ) ขอถวายสัตย์ปฏิญาณว่า ข้าพระพุทธเจ้าจะจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ และจะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อประโยชน์ของประเทศและประชาชนทั้งจะรักษาไว้และปฏิบัติตามซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ”
นอกจากนั้น มาตรา 161 วรรคสอง ได้บัญญัติให้พระมหากษัตริย์มีพระราชอำนาจให้คณะรัฐมนตรีบริหารราชการแผ่นดินไปพลางก่อนที่จะมีการถวายสัตย์ปฏิญาณได้ และเมื่อมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้คณะรัฐมนตรีเข้าบริหารราชการแผ่นดินได้ จะมีผลให้คณะรัฐมนตรีชุดเดิมที่อยู่ในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ต้องพ้นจากการปฏิบัติหน้าที่นับแต่วันที่โปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ทั้งนี้ เพื่อมิให้การถวายสัตย์ปฏิญาณทำให้เกิดความล่าช้าในการเข้าบริหารราชการแผ่นดินของคณะรัฐมนตรี

มาตรา 191 ก่อนเข้ารับหน้าที่ ผู้พิพากษาและตุลาการต้องถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์ด้วยถ้อยคำ ดังต่อไปนี้
“ข้าพระพุทธเจ้า (ชื่อผู้ปฏิญาณ) ขอถวายสัตย์ปฏิญาณว่า ข้าพระพุทธเจ้าจะจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ และจะปฏิบัติหน้าที่ในพระปรมาภิไธยด้วยความซื่อสัตย์สุจริตโดยปราศจากอคติทั้งปวงเพื่อให้เกิดความยุติธรรมแก่ประชาชน และความสงบสุขแห่งราชอาณาจักร ทั้งจะรักษาไว้และปฏิบัติตามซึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและกฎหมายทุกประการ”
ติดตาม The Thaiger บน Google News: