“ช่อ” มองทักษิณขึ้นเวที จำเป็นต้องออกหน้า ไม่เกี่ยวอุ๊งอิ๊ง “จักรภพ” ขอ อย่าด้อยค่าคนแก่
ช่อ พรรณิการ์ วานิช พูดในกรรมกรข่าวของสรยุทธ เชื่อ ทักษิณ ชินวัตร ขึ้นเวทีแสดงวิสัยทัศน์ งานนี้ไม่เกี่ยว แพทองธาร ต้องการประกาศให้รู้ คืนวงการแล้ว จักรภพ เพ็ญแข มองต่าง ชี้รอเวลาอุ๊งอิงพิสูจน์ตัว มีแบคอัพไม่แปลก ย้ำไม่มีนายกฯ ประเทศไหนบริหารงานโดยลำพัง
ได้ทั้งน้ำและเนื้อหลัง กรรมกรข่าว คุยนอกจอ วันนี้ (23 ส.ค.) สรยุทธ สุทัศนะจินดา เชิญสองคนโฆษกการเมืองโดยเนื้อแท้ จักรภพ เพ็ญแข กับ ช่อ พรรณิการ์ วานิช มาแลกเปลี่ยนมุมมมอง ตลอดจนวิเคราะห์สถานการณ์การเมืองยุค แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีคนที่ 31
โดยช่วงหนึ่งพิธีกรถาม “ช่อ พรรณิการ์” คิดเห็นอย่างไรกับบทบาทการขึ้นเวทีแสดงวิสัยทันน์ของทักษิณ ชินวัตร ในงาน Dinner Talk Vision for Thailand 2024 ที่เพิ่งผ่านมาสด ๆ ร้อน ๆ และมีหลายคนมองเป็นการตั้งใจแสดงตัวชัดเจน ซึ่งฝ่ายคนการเมืองจากคณะก้าวหน้าตอบน้ำเสียงฉะฉาน เธอเองอยากให้ดูที่บริบทเพราะงานนี้ไม่ได้เกิดขึ้นภายใน 1-2 วันแน่นอน
พรรณิการ์กล่าวต่อว่างานนี้คุณทักษิณไม่ได้ตั้งใจให้เกิดขึ้นตอนที่ แพทองธารได้ดำรงตำแหน่งนายกฯ บริบทของงานต้องเกิดขึ้นภายในกรอบความคิดที่ว่า เป็นการเตรียมตัวคัมแบ็กออนสเตจอย่างเป็นทางการของตัวเอง เพราะว่าเป็นช่วงเวลาที่พ้นโทษอะไรต่าง ๆ แล้ว เพราะฉะนั้นในความเป็นจริงอาจจะไม่เกี่ยวกับเรื่องของแพทองธารเลย แผนในจิตใจของคุณทักษิณอาจจะแค่ว่า เป็นการการประกาศกลับมาคืนวงการ การเมืองอย่างเป็นทางการเท่านั้นเอง เพียงแต่เวลามาประจวบเหมาะกับเป็นช่วงที่เพิ่งจะมีการโปรดเกล้าฯ นายกฯ แต่ยังไม่ได้มีการถวายสัตย์ ไม่ได้แถลงนโยบาย เป็นช่วงที่เกิดสุญญากาศเบา ๆ ขึ้น นั่นก็คือรักษาการนายกรัฐมนตรีอยู่ต่อแน่นอน แต่ว่านายกฯ ยังไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้
แกนนำจากคณะก้าวหน้ายังตั้งสันนิษฐานต่อจากประเด็นที่มองสุญญกาศการเมืองไทยเล็กนี้ ๆ อาจเกิดข้อวิพากษ์วิจารณ์ ทำไมนายกฯ ไม่ทำนั่น ทำนี่ พอสถานการณ์เป็นแบบนี้ “ช่อ พรรณิการ์” จึงสรุปโดยตั้งคำถามต่อว่าฝั่งของนายทักษิณน่าจะเพิ่งมามีการมาปรับเปลี่ยนอะไรบางอย่างหรือไม่ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในสถานการที่ทุกคนกำลังจับตามองนายกฯ ที่ชื่อแพทองธาร และมีข้อวิจารณ์เรื่อง “นายกพ่อลูก” อยู่ จึงเปรียบเหมือนตอนนี้ กำลังมีทาง 2 แพ่ง
แพ่งแรก “ช่อ” อธิบายว่า คุณทักษิณเข้าใจสถานการณ์ ณ ตอนนี้ จำเป็นต้องออกหน้า ไม่เช่นนั้นเอาไม่อยู่ ต้องเฉพาะคุณทักษิณเท่านั้นที่เอาอยู่ ทั้งเรื่องการเมือง เศรษฐกิจ ความไม่เชื่อมั่น ความผันผวนอะไรต่าง ๆ คุณทักษิณคิดว่าต้องเป็นตัวคุณทักษิณที่มีเครดิต มีบารมีทางการเมือง มีคนเชื่อถือเพราะว่าเคยประสบความสำเร็จมาแล้วในการเมืองไทยร่วมสมัย
อย่างไรก็ดี “ช่อ” กล่าวความเห็นส่วนตัว เธออยากเห็นแพ่งที่ 2 มากกว่า คือ อยากเห็น “นายกแพทองธาร” ที่เป็นนายกรัฐมนตรี ไม่ใช่นายกรัฐมนตรีลูกคุณทักษิณ โดยเธอเองเชื่อว่า น.ส.แพทองธาร เป็นนักการเมืองที่มีความตั้งใจและมีความสามารถที่จะเป็นเป็นนายกฯ ที่ดีได้ แต่ดูเหมือนว่าพรรคเพื่อไทยหรือคุณทักษิณเองหรือกับคุณแพทองธารเอง ดูเหมือนจะไม่ได้เลือกทางนั้น เพราะเหมือนจะขึ้นมาเป็นนายกฯ เพื่อให้คุณทักษิณได้กลับมารันวงการอีกครั้งหนึ่ง
เมื่อถูกถามเชื่อในตัวแพทองธารหรือไม่ ? พรรณิการ์ตอบกลับมาว่า มันเป็นการเมืองที่ต่างกันเลยระหว่างอนาคตใหม่กับเพื่อไทย เพราะ พ.ท. อยู่กับความชัวร์และความสำเร็จที่พิสูจน์มาแล้วในอดีตของทักษิณและรัฐบาลสมัยนั้น ส่วนอนาคตใหม่ต่อให้ผ่านมา 6 ปีแล้วก็ยังเป็นพรรคใหม่ อยู่กับความเป็นไปได้ใของอนาคต ความเป็นไปได้ที่ว่าพวกคุณทำไม่ได้หรอกแต่เราจะพิสูจน์ให้ดูว่าทำได้ ฉะนั้นวันนี้จึงไม่แปลกที่เพื่อไทยและคุณทักษฺณตัดสินใจในแพ่งที่ 1 คือ ความสำเร็จที่พิสูจน์มาแล้วในอดีต แต่พวกเราอยากเห็นโอกาสแห่งความเป็นไปได้ในอนาคตว่า แพทองธารจะเป็นายกฯ ที่ดี
มาถึงตรงนี้ จักรภพ เพ็ญแข อดีตโฆษกประจำสำนักนายกฯ สมัยรัฐบาลนายทักษิณ ได้กล่าวโดยแสดงมุมมองอีกด้าน ประเด็นแรกตอนนี้คงยังพูดอะไรไม่ได้จนกว่า แพทองธารจะแสดงตัวในฐานะนายกฯ เสียก่อน การขึ้นพูดบนเวทีของคุณทักษิณ ส่วนตัวคงมีความต้องการอะไรบางอย่างซึ่งไม่ทราบได้ แต่แพทองธารก็คงมีความต้องการของตัวเองเช่นกัน
จักรภพกล่าวต่อในส่วนที่อีกฝ่าย คือ ช่อ พรรณิการ์แสดงความคิดเห็นมานั้น ต้องรอเวลาหลังแถลงนโยบาย ส่วนสถานการณ์ในตอนนี้ คือถูกจับผิดหลายเรื่องจนต้องเลือกเรื่องไหนมันน้อยกว่า ลูกนำพ่ออาจช่วยแบ็คอัพทางความคิด ตรงนี้เป็นเรื่องที่ต้องแยกระหว่างทฤษฎีกับปฏิบัติต้องแยกจากกันให้เด็ดขาด ต้องไม่ลืมนายกรัฐมนตรีไม่ว่สจะของไทยหรือประเทศไหนก็ตาม ไม่เคยบริหารประเทศโดยลำพัง จะต้องมีทีม คณะรัฐมนตรี มีที่ปรึกษา มีผู้ที่มีอิทธิพลต่อคน ๆ นั้น ซึ่งอาจจะไม่บอกเราก็ได้ว่าฟังใครหรือเชื่อใครมาก ไม่มีนายกฯ ที่บริหารคนเดียว ฉะนั้นตนคิดว่าเป็นเรื่องดีกว่าที่แสดงตัวเลยว่าใครมีอิทธิพลกับเรา
“ปัญหาคืออดีตกลายเป็นอนคตได้เหมือนกัน ไม่เช่นนั้นจะเรียนประวัติศาตร์กันไปทำไม ประเด็นตัวอดีตไม่ได้ไร้คุณค่า อย่าทำอะไรที่คนแก่รู้สึกด้อยค่า เนื่องจากคนในสังคมมีทุกเจนเนอเรชั่น ในครอบครัวมีพ่อแม่ลูกปู่ย่าตายาย ถ้าหากเราไปบอก เด็กรุ่นนี้กูเกิลเร็วกว่าจะเป็นผู้นำโลก แล้วที่เหลือจะไปถ่วงน้ำตายกันหรือไง ?”
“มันต้องหาทางที่ทุกคนอยู่กันได้ แต่อาจจะสลับบทบาทกันใหม่ การฟังอาจต้องมีมากขึ้น มาทุกวันนี้เมืองไทยกำลังสับสนเรื่องความเสมอภาคและเท่าเทียม สังคมเหมือนห่างเหินกันมากขึ้น เหมือนกับว่าไม่อยากจะนับญาติกันแล้ว อยากจะเป็นคนอื่นเพื่อจะได้เท่ากัน ที่นี้ความเท่ากันไม่เข้ากับธรรมชาติของมนุษย์ที่เป็นสัตว์สังคม ตนคิดว่าทุกเจนฯ จะต้องมา ซึ่งตรงนี้ ส่วนตัวคิดว่าเพื่อไทยสะท้อนตรงนี้ได้ดีกว่า” นายจักรภพ ระบุ.
อ่านข่าวเพิ่มเติม