สาวกินมังสวิรัต 10 ปี ยังป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่ สุดทรมาน หมอเห็นเมนูอาหาร ถึงกับส่ายหัว

สาวรักสุขภาพ กินมังสวิรัติ 10 ปี ยังป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่ หมอถึงกับส่ายหัวเมื่อเห็นเมนู มีแต่ของแปรรูป น้ำมันเยิ้ม

องค์การอนามัยโลกยืนยันแล้วว่าการรับประทานเนื้อแดงถือเป็นปัจจัยเสี่บเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ แต่กลับมีผู้หญิงอายุ 50 ปีคนหนึ่งที่ทานมังสวิรัติมาเป็นเวลา 10 ปี ไม่ทานเนื้อเลย ดันป่วยโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ระยะที่ 3 หมอวินิจฉัยลึกลงไปต้องะลึงกับสิ่งที่เธอเลือกกิน

คุณหมอจางเจิ้นหรง ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบทางเดินอาหาร ตับและถุงน้ำดี ต้องส่ายหัวเมื่อได้ยิน “เมนูอาหาร” ที่หญิงมังสวิรัตกินในแต่ละวัน เพราะแทนที่จะกินผัก สิ่งที่เธอกินมีแต่เนื้อสัตว์เทียม ไก่เทียม ปลาเทียม และอาหารแปรรูปอื่นๆ ที่ “ล้วนเต็มไปด้วยน้ำมันเยิ้ม”

นอกจากนี้ ด้วยรูปร่างที่อ้วนและความเชื่อทางศาสนา ทำให้เธอปฏิเสธการกำจัดติ่งเนื้ออะดีโนมา (adenoma) ขนาด 0.8 ซม. ที่ตรวจพบ ซึ่งมันอาจพัฒนาเป็นก้อนมะเร็งได้ เธออดทนรอจนกระทั่งมีเลือดปนในอุจจาระถึงจะกลับไปหาหมอ สุดท้ายลงเอยด้วยต้องตัดลำไส้ครึ่งหนึ่งออกและเข้ารับการรักษาด้วยเคมีบำบัด

ดร. จางเจิ้นหรง ผู้อำนวยการคลินิกทางเดินอาหาร ตับและถุงน้ำดี เคยเล่าประสบการณ์นี้ในรายการ “หมอช่างร้อนแรงจริงๆ” ทางทีวีจีนว่า “ด้วยความเชื่อทางศาสนาอันพิเศษของเธอ ก่อนเข้ารับการส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่ เธอได้ประกาศไว้ว่า “ถ้าเจอติ่งเนื้อห้ามตัดออกนะ!” ทำให้เขาอึ้งไปชั่วขณะ หลังจากใช้เวลาเกลี้ยกล่อมกว่า 10 นาทีก็ไม่เป็นผล สุดท้ายผลการตรวจพบติ่งอะดีโนมาขนาด 0.8 เซนติเมตร

ดร.จางเจิ้นหรงกล่าวต่อว่า แม้เขาจะแจ้งให้หญิงรายนี้ทราบแล้วว่า หากปล่อยติ่งเนื้อนี้ไว้โดยไม่จัดการ เป็นเวลา 5 ถึง 10 ปีอาจกลายเป็นมะเร็งได้ และถึงเธอไม่ต้องการกำจัดออกก็แนะนำให้เธอมาตรวจติดตามผลภายในหกเดือน ทว่าเธอกลับไม่มาตรวจนานถึง 2-3 ปี

จู่ๆ เธอก็ปรากฏตัวที่คลินิกอีกครั้งเพราะมีเลือดออกในอุจจาระ เธอจึงขอรส่องกล้องตรวจลำไส้ครั้งที่สอง โดยเขาบอกว่า “ถ้าทำอีกที คราวนี้จะเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ระยะที่ 3 ” โดยทั่วไปติ่งเนื้ออะดีโนมาในลำไส้ใหญ่ที่มีขนาดใหญ่กว่า 1 ซม. นั้นอันตรายมาก และในกรณีของผู้หญิงคนนี้ถือว่าเข้าใกล้สภาวะเป็นมะเร็งเต็มที

ดร.จางเจิ้นหรง วิเคราะห์พฤติกรรมการกินของหญิงรายนี้และทราบว่าเธอเป็นมังสวิรัติมาหลาย 10 ปี และชื่นชอบอาหารที่มีน้ำมันและน้ำตาลสูง เขาพูดตรงๆว่า “การเป็นมังสวิรัติไม่ได้หมายความว่าจะสุขภาพดีกว่าคนอื่น”

อาหารประเภทมังสวิรัติแบ่งออกเป็นกลุ่ม “มังสวิรัติเพื่อสุขภาพ” ที่เลือกรับประทานอาหารต้นแบบที่ดีต่อสุขภาพ และอีกประเภทคือ “มังสวิรัติอาหารแปรรูป” เช่น เนื้อเทียม ไก่เทียม ปลาเทียม และอาหารที่มีไขมันสูง การได้รับใยอาหารจากผักผลไม้ไม่เพียงพอ การกินอาหารทอด รวมไปถึงความอ้วนของตัวผู้ป่วยเอง ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่

ที่ผ่านมามีคำกล่าวที่ว่า “การกินมังสวิรัติสามารถป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้” ทีมป้องกันและควบคุมโรคมะเร็งแห่งสำนักงานบริการสุขภาพแห่งชาติ (ของไต้หวัน) ได้ชี้แจงว่า จากข้อมูลเชิงประจักษ์ การเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ไม่ได้เกิดจากสาเหตุเพียงอย่างเดียว สารก่อมะเร็งประกอบด้วย “การสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์ อาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ การออกกำลังกายไม่สม่ำเสมอ น้ำหนักเกิน ฯลฯ”

ปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานว่า “ถ้ากินมังสวิรัติจะไม่เป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่” บางคนคิดว่าอาหารมังสวิรัติหมายถึงอาหารรสอ่อน แต่การใช้น้ำมันปรุงอาหารมากเกินไปหรือการบริโภคส่วนผสมที่มาจากพืชมากเกินไปในระหว่างการปรุงอาหารก็จะเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่เช่นกัน

คุณหมอเหลียวหมิ่นไค่ แพทย์ผู้รักษาประจำแผนกระบบทางเดินอาหาร โรงพยาบาลไทเป ได้อธิบายว่าอาการทั่วไปของมะเร็งลำไส้ใหญ่ ได้แก่ “มีเลือดออก ความถี่ในการขับถ่ายเปลี่ยนแปลง อุจจาระเหลว ปวดท้องหรือมีก้อนแข็ง น้ำหนักลด” เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม หากอาการที่เห็นได้ชัดปรากฏขึ้น บ่อยครั้งแสดงถึงการที่โรคลุกลามไปถึงระยะหลังแล้ว ผู้ป่วยเหล่านี้มักจำเป็นต้องเข้ารับการรักษาที่มีความยุ่งยากซับซ้อนมากขึ้น เช่น การผ่าตัดร่วมกับการฉายรังสีหรือเคมีบำบัด ฯลฯ ซึ่งมีภาวะแทรกซ้อนที่มากขึ้นและการพยากรณ์โรคที่ไม่ดีเท่าผู้ป่วยที่ตรวจพบในระยะต้น

อย่างไรก็ตาม สาเหตุที่ชัดเจนของมะเร็งลำไส้ใหญ่ยังคงต้องมีการศึกษาเพิ่มเติม คุณหมอเหลียวหมิ่นไค่กล่าวว่า ทั่วไปเชื่อกันว่านอกจากปัจจัยทางพันธุกรรม เช่น ประวัติครอบครัวแล้ว อาหารและวิถีชีวิตเองก็เป็นสาเหตุที่เป็นไปได้ด้วย ปัจจัยเสี่ยงที่สูงขึ้นรวมถึงการบริโภคอาหารที่มีกากใยสูงไม่เพียงพอ การออกกำลังกายไม่เพียงพอ การรับประทานบาร์บีคิวทอดหรือเนื้อแปรรูปเป็นประจำ การสูบบุหรี่ ฯลฯ สำหรับชนกลุ่มน้อยที่มีพฤติกรรมข้างต้น จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการตรวจคัดกรองมากขึ้น

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง