ยืนยันแล้ว คนที่เคยร่วมโครงการ Easy e-Receipt มีสิทธิได้เงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท เนื่องจากเป็นคนละสิทธิกัน
รัฐบาลเปิดเผยแนวทาง โครงการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท ตามนโยบายที่เคยหาเสียงไว้ ยืนยันเริ่มลงทะเบียนในไตรมาสที่ 3 ก่อนแจกเงินเข้ากระเป๋าประชาชนจริงในไตรมาสที่ 4 ปีนี้ ด้านคนที่เคยร่วมโครงการ Easy e-Receipt ก็มีสิทธิได้เงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาทด้วยเช่นกัน เนื่องจากเป็นคนละโครงการ และมีการวางงบประมาณไว้แล้ว 5 แสนล้านบาท
วันนี้ (10 เม.ย. 67) นายกรัฐมนตรี นายเศรษฐา ทวีสิน พร้อมด้วยตัวแทนจากฝ่ายต่าง ๆ ได้ออกมาแถลงแนวทางโครงการเติมเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet โดยเผยว่ามีจุดมุ่งหมายเพื่อยกระดับเศรษฐกิจของไทย และสร้างโอกาสให้กับประชาชน เพื่อเตรียมความพร้อมสู่เศรษฐกิจสมัยใหม่และกระตุ้นเงินหมุนเวียนในประเทศ
สำหรับโครงการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท ได้มีการมอบสิทธิให้ประชาชนราว 50 ล้านคน ผ่านวงเงิน 5 แสนล้านบาท ที่ดึงมาจาก 3 ส่วน ได้แก่ งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 : 152,700 ล้านบาท, หน่วยงานของรัฐ : 172,300 ล้านบาท และการบริหารจัดการงบประมาณ 2567 : 175,000 ล้านบาท
ส่วนเงื่อนไขของผู้ที่มีสิทธิในการได้รับเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาท ได้ระบุไว้ว่า ประกอบไปด้วยประชาชน 50 ล้านคน ที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป และมีเงินฝากในบัญชีไม่เกิน 500,000 บาท ตลอดจนไม่เป็นผู้ที่มีเงินได้พึงประเมินเกิน 840,000 บาทต่อปีภาษี
ทั้งนี้นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ได้ยืนยันแล้วว่า ผู้ที่เคยใช้สิทธิโครงการลดหย่อนภาษี 50,000 บาท หรือ Easy e-Receipt ก็สามารถรับสิทธิเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาทได้ด้วย หากเป็นไปตามเงื่อนไขข้างต้น เพราะทั้งสองโครงการไม่มีความเกี่ยวข้องกัน โดย Easy e-Receipt ได้สิ้นสุดไปแล้วตั้งแต่ 15 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
ส่วนร้านค้าต่าง ๆ ที่ต้องการเข้าร่วมโครงการเงินดิจิทัล จะต้องลงทะเบียนในไตรมาสที่ 3 และจะต้องเป็นร้านที่อยู่ในระบบภาษี ได้แก่ ภาษีมูลค่าเพิ่ม (Value Added Tax: VAT) , ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (Personal Income Tax: PIT) และ ภาษีเงินได้นิติบุคคล (Corporate Income Tax: CIT).
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม