
ม็อบไล่นายก ไม่ควรเป็นสารตั้งต้น ‘รัฐประหาร’ หยุดวงจรอุบาทว์ ทำลายเศรษฐกิจ การเมืองพินาศ
วันที่ 28 มิถุนายน 2568 พื้นที่รอบอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิถูกจับจองด้วยธงไตรรงค์และเต็นท์อาสาสมัคร คณะรวมพลังแผ่นดิน ตั้งแต่ 07.00 น. ผู้ชุมนุมทยอยมาถวายสังฆทานและบวงสรวง ก่อนที่เวทีปราศรัยจะเปิดไมค์เที่ยงตรง บรรยากาศเช้านั้นถูกสื่อมวลชนบันทึกว่า “คึกคักตั้งแต่แสงแรก”
ตลอดวัน ชานพลับพลาถูกย้อมด้วยวาทะแห่ง “การปกป้องอธิปไตย” แกนนำอย่าง จตุพร พรหมพันธุ์, นิติธร ล้ำเหลือ และ ปานเทพ พัวพงศ์พันธ์ ผลัดกันจี้จุดอ่อนรัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร ตั้งแต่ปัญหาเศรษฐกิจ ไปจนถึงคลิปสนทนาชายแดนไทย-กัมพูชา ที่เพิ่งหลุดว่อนโซเชียล กล่าวหาว่า รัฐบาลยอมอ่อนข้อให้เพื่อนบ้าน

ช่วงเย็นเสียงบนเวทีดังขึ้นอีกระลอก เมื่อ “หรั่ง ร็อคเคสตร้า” ชัชชัย สุขขาวดี ขึ้นร้องเพลงพระราชนิพนธ์ “ความฝันอันสูงสุด” และ “เราสู้” ปลุกมวลชนโบกธงร้องคลอตาม ก่อนตัวแทนกลุ่มจะอ่านบทกวี “เพลงชาติไทยผูกใจเรา” และแถลงการณ์ยาว 7 ข้อ กดดันให้นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีลาออกทันที
มุมสูงจากโดรนของสื่อทางเลือกประเมินว่าฝูงชนแตะหลัก ห้าหมื่น ขณะที่กองบัญชาการตำรวจนครบาลแจ้งยอดราว 20,000 คน ต่างฝ่ายต่างสำแดงตัวเลขเพื่อยืนยันพลังหรือการควบคุมสถานการณ์ของตนเอง
กระแสตอบโต้ดังกระทบกลับ พรรคประชาชนออกแถลงการณ์ประณามถ้อยคำบนเวทีว่า “ปลุกระดมเปิดทางรัฐประหาร” ขณะที่ โฆษกพรรคเพื่อไทย ย้ำสิทธิการชุมนุมอันสงบ แต่เตือนว่าไม่ควรล้ำเส้นเกลียดชังทางการเมือง
เวลาประมาณ 21.45 น. จตุพรประกาศยุติการชุมนุม เสียงขลุ่ยจาก อาจารย์ธนิสร์ ศรีกลิ่นดี ดังก้องเป็นสัญญาณส่งผู้คนทยอยกลับ พร้อมนัดหมายครั้งต่อไปโดยยังไม่กำหนดวันชัดเจน
ปูมหลัง “รวมพลังแผ่นดิน” กลุ่มนี้ค่อยๆ สะสมแรงตั้งแต่ปลายมิถุนายน ด้วยข้อเรียกร้องให้รัฐบาลทบทวนยุทธศาสตร์ความมั่นคงชายแดนและฟื้นฟูเศรษฐกิจชุมชน คำประกาศปกป้องอธิปไตย ถูกร้อยเข้ากับความทรงจำปี 2549 และ 2557 ที่เคยนำไปสู่การรัฐประหาร จนฝ่ายตรงข้ามหวั่นว่า ประวัติศาสตร์อาจซ้ำ
ผลเสียรัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2549 รัฐบาลทักษิณ พ.ศ. 2557 รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
เศรษฐกิจไทย ตลาดทุน ค่าเงินบาทผันผวนอย่างเห็นได้ชัด เช่น ภายหลังรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับลดลงทันที ดัชนี SET ลดลง 4.2% ในวันเปิดตลาดวันแรกหลังรัฐประหาร ขณะที่ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงอย่างรวดเร็ว
ส่วนในปี 2557 แม้ตลาดหุ้นและเงินบาทจะผันผวนในช่วงแรก แต่การยุติความวุ่นวายทางการเมืองชั่วคราวทำให้นักลงทุนบางส่วนมีความเชื่อมั่นขึ้นว่าความไม่แน่นอนระยะสั้นสิ้นสุดลง สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือสากลได้ออกมาตรการระมัดระวังต่อไทยทันทีหลังรัฐประหาร เช่น S&P และ Fitch ประกาศจับตาความน่าเชื่อถือของไทยในเชิงลบ เตือนว่าอาจลดอันดับเครดิตหากสถานการณ์การเมืองเสื่อมถอยลงต่อเนื่อง ส่วน Moody’s แม้จะคงอันดับเครดิตไทยไว้ แต่ก็เตือนว่าการยึดอำนาจเป็นปัจจัยลบต่อบรรยากาศลงทุนและความเชื่อมั่น
ผลกระทบในระยยาว ทั้งการลงทุน การเติบโต และศักยภาพการแข่งขันของประเทศ ความไม่แน่นอนทางการเมืองทำให้นักลงทุนต่างชาติชะลอหรือย้ายการลงทุนไปประเทศเพื่อนบ้าน ส่งผลให้สัดส่วนเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ในไทยลดลงอย่างต่อเนื่องหลังปี 2549 และตกต่ำลงอีกหลังวิกฤตน้ำท่วม 2554 เรื่อยไปจนถึงรัฐประหาร 2557 ซบเซาไม่มีฟื้น
ข้อมูลชี้ว่าอัตราการขยายตัวของ GDP ไทยชะลอตัวลงอย่างชัดเจนในช่วงวิกฤตการเมือง เช่น ไตรมาสสุดท้ายของปี 2549 เศรษฐกิจไทยขยายตัวเพียง 4.2% ลดลงจากไตรมาสก่อนหน้าที่โต 5-6% ส่วนปี 2557 GDP ไทยโตเพียงประมาณ 1% ซึ่งต่ำมากเมื่อเทียบกับศักยภาพเดิม (ปี 2556 โต 2.7% และปี 2557 เพียง 1% จากเหตุชุมนุมใหญ่และรัฐประหาร) ก่อนจะฟื้นตัวปานกลางที่ระดับ ~3% ในปีถัดๆ ไป
โชคดีอยู่บ้าง การที่รัฐบาลรัฐประหารรีบคืนอำนาจในปี 2549 จัดเลือกตั้งปี 2550 ทำให้โลกภายนอกไม่ลงโทษไทยด้วยการคว่ำบาตรหนัก เศรษฐกิจจึงดีดกลับได้เร็วในปี 2550 ตรงข้ามกับรัฐประหาร 2557 ที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ถืออำนาจยาวนาน พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ครองเก้าอี้ผู้นำประเทศกว่า 9 ปี ส่งผลให้การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจเป็นไปอย่างเชื่องช้า ต่ำกว่าที่ควรจะเป็น เพราะไร้ประสบการณ์ด้านการบริหารเศรษฐกิจมหภาค แม้ภาคเอกชนและภาคส่งออก/ท่องเที่ยว
นักวิเคราะห์บางรายถึงกับเรียกประเทศไทยช่วงทศวรรษหลังรัฐประหาร 2557 ว่า “ทศวรรษที่สูญหาย” เพราะเศรษฐกิจไทยเดินหน้าช้าลง ขาดโอกาสก้าวกระโดด ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านเติบโตแซงหน้าไทยไปมาก รายได้ประชากรไทยยังติดอยู่ในกับดักรายได้ปานกลาง ในขณะที่มาเลเซียก้าวสู่ประเทศรายได้สูง และอินโดนีเซียกลายเป็นประเทศรายได้ปานกลางระดับสูงแล้ว
รัฐประหาร ปล้นโอกาสร่ำรวยของประเทศ 10.97 ล้านล้านบาท
มีการประเมินเชิงมหภาคว่าความสูญเสียทางเศรษฐกิจสะสมจากรัฐประหาร 2549 อาจสูงถึงประมาณ 10.97 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นความเสียหายโอกาสทางเศรษฐกิจที่หายไปยาวนานกว่าสิบกว่าปี แม้ว่าประเทศไทยจะรักษาเสถียรภาพทางการเงินการคลังไว้ได้ หนี้สาธารณะไม่สูง เงินสำรองระหว่างประเทศแข็งแกร่ง ทำให้ยังไม่ถูกลดอันดับเครดิตลงสู่ระดับต่ำ แต่บรรยากาศการลงทุนและความเชื่อมั่นของตลาดทุนก็ถดถอยลงอย่างมีนัยสำคัญหลังการรัฐประหารทุกครั้ง
เสรีภาพ บทบาทภาคประชาชนถูกคุกคาม
รัฐประหารทั้งสองครั้งเกิดขึ้นท่ามกลางความขัดแย้งทางการเมืองที่ฝังลึกในสังคมไทย ความคิดประชาชนแตกแยกยิ่งฝังรากลึกกว่าเดิม คณะรัฐประหารเองยอมรับเหตุผลหนึ่งของการยึดอำนาจปี 2557 คือ “ความขัดแย้งทางความคิดอย่างรุนแรงจนถึงระดับครอบครัวคนไทย” สังคมแบ่งฝ่ายทางการเมืองจนความสัมพันธ์ในครอบครัวกระทบถึงพ่อแม่กับลูก
ประชาชนกลุ่มหนึ่งสนับสนุนการรัฐประหารเพราะเชื่อว่าเป็นทางออกจากวิกฤต ในขณะที่อีกจำนวนมากต่อต้าน มองว่าเป็นการทำลายประชาธิปไตย ส่งต่ออำนาจให้กลุ่มคนเพียงหยิบมือ ไม่ใช่การแก้ปัญหาที่แท้จริง ฝ่ายสนับสนุนรัฐประหารตราหน้าฝั่งตรงข้ามว่าไม่รักษา ความเชื่อมั่นต่อระบบการเมืองประชาธิปไตยสั่นคลอน หลายคนรู้สึกหมดหวังหรือเฉยเมยทางการเมืองเมื่อเห็นว่าการเลือกตั้งที่ผ่านมาถูกล้มล้างโดยอำนาจนอกระบบ

ความเชื่อถือในสถาบันต่าง ๆ เช่น ระบบรัฐสภา พรรคการเมือง ตุลาการ และสื่อมวลชน ก็ถูกตั้งคำถามจากประชาชนทั้งสองฝั่ง บ้างก็เห็นว่าสถาบันเหล่านี้ถูกแทรกแซงหรือเลือกข้างทางการเมือง ความไว้วางใจต่อกันในหมู่ประชาชนและต่อสถาบันลดลงจนน่าเป็นห่วง
รัฐประหารส่งผลให้สิทธิเสรีภาพพื้นฐานของประชาชนถูกจำกัดอย่างเข้มงวด หลังรัฐประหาร 2557 คณะรัฐประหารใช้กฎอัยการศึก คำสั่งพิเศษในการควบคุมการแสดงออกอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน มีการเซ็นเซอร์สื่อทุกรูปแบบ ปิดสถานีโทรทัศน์และวิทยุชั่วคราว บังคับให้ทุกช่องออกอากาศรายการของกองทัพในช่วงแรกทันที
สื่อมวลชนถูกห้ามวิจารณ์คณะรัฐประหาร รายการทีวีวิทยุถูกสั่งห้ามเชิญผู้แสดงความเห็นที่มีท่าที “ไม่เป็นคุณ” ต่อคณะทหาร มิฉะนั้นจะถูกดำเนินคดีหรือปิดสถานี คสช. ควบคุมโซเชียลมีเดียอย่างใกล้ชิด ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตถูกเรียกไปกำชับให้เซ็นเซอร์เนื้อหาการเมืองตามที่คสช. ต้องการ
ผลคือบรรยากาศสังคมไทยหลังรัฐประหารเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและการเซ็นเซอร์ตัวเอง ประชาชนจำนวนมากหลีกเลี่ยงการวิจารณ์การเมืองหรือแสดงออกทางความคิดเนื่องจากเกรงผลกระทบที่จะตามมา ดัชนีเสรีภาพสื่อของไทยตกต่ำลง เช่น ปี 2558 ไทยอยู่ที่อันดับ 136 ของโลก ลดลงจากอันดับ 134 ในปีก่อนหน้า หลังสื่อถูกควบคุมอย่างหนักในยุครัฐประหาร

ภาคประชาสังคมเองก็ถูกจำกัดบทบาทอย่างหนักหลังรัฐประหาร 2557 องค์กรและเครือข่ายประชาชนที่เคลื่อนไหวทางการเมืองหรือเรียกร้องสิทธิถูกจับตาและปิดกั้นอย่างต่อเนื่อง แกนนำชุมชน นักวิชาการ และนักกิจกรรมหลายรายถูกเรียกปรับทัศนคติหรือควบคุมตัวโดยไม่ตั้งข้อหาในช่วงแรกๆ ตัวอย่างเช่น มีการออกคำสั่งเรียกบุคคลให้มารายงานตัวกว่า 200 คนทั้งนักการเมืองรัฐบาลที่ถูกโค่นและฝ่ายต่อต้าน เมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 โดยผู้ไม่ไปรายงานตัวจะมีหมายจับ ถูกดำเนินคดี
นักศึกษาและกลุ่มเคลื่อนไหวภาคประชาชนที่ประท้วงเชิงสัญลักษณ์ (เช่น การชูสามนิ้วหรืออ่านหนังสือ 1984 ในที่สาธารณะ) ก็ถูกจับกุมหรือตักเตือนอยู่เนืองๆ กิจกรรมของ NGO ที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐหรือเรียกร้องตรวจสอบถูกสกัดกั้น ภาคประชาสังคมไทยโดยรวมอยู่ในภาวะ “ถูกปิดปาก” หลายปีภายใต้คสช. มีเพียงองค์กรที่ร่วมมือหรือไม่ท้าทายอำนาจรัฐเท่านั้นที่ดำเนินการได้สะดวก ผลคือเสียงของประชาชนถูกลดทอน บทบาทตรวจสอบถ่วงดุลโดยภาคประชาชนถดถอยลงมาก สังคมไทยสูญเสียพลังขับเคลื่อนจากฐานรากไปไม่น้อยตอนนั้น
รัฐประหาร ทำลายความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมาย กระบวนการยุติธรรม
การรัฐประหาร ถือเป็นการกบฏ โทษคือประหารชีวิต คณะทหารจึงต้องฉีกรัฐธรรมนูญ กฎหมายสูงสุดของประเทศ ทำลายหลักนิติธรรม (Rule of Law) อย่างรุนแรง คณะรัฐประหาร 2549 และ 2557 ต่างประกาศให้รัฐธรรมนูญฉบับที่ใช้อยู่ในขณะนั้นสิ้นสุดลง ยกเว้นบทบัญญัติว่าด้วยสถาบันพระมหากษัตริย์ จากนั้นปกครองด้วยคำสั่ง ประกาศของตนเองซึ่งถือเป็น “กฎหมาย” เฉพาะหน้าขึ้นมาใหม่ทันที
กฎอัยการศึก ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการปกครองหลังรัฐประหาร ปี 2557 ที่มีการอ้างใช้ พระราชบัญญัติกฎอัยการศึก พ.ศ. 2457 เพื่อให้อำนาจทหารอย่างเบ็ดเสร็จในการจำกัดสิทธิเสรีภาพต่างๆ และให้อำนาจทหารพ้นจากการถูกฟ้องร้องเอาผิดในช่วงเวลานั้น ภายใต้กฎอัยการศึก เจ้าหน้าที่ทหารสามารถจับกุมควบคุมตัวบุคคลได้โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการศาล (ควบคุมตัวได้ถึง 7 วันโดยไม่ตั้งข้อหา) สามารถตรวจค้น ยึดทรัพย์ หรือห้ามการเดินทางได้โดยไม่ต้องมีหมายศาล มีอำนาจสั่งปิดสื่อหรือห้ามการชุมนุมได้ตามดุลยพินิจตนเอง ช่วงที่ประกาศกฎอัยการศึก ไทยอยู่ในภาวะ “นอกระบบกฎหมาย” ที่การกระทำของเจ้าหน้าที่ไม่อยู่ใต้การตรวจสอบถ่วงดุลตามปกติ
ต่อมา แม้จะยกเลิกกฎอัยการศึกในบางช่วง แต่คณะรัฐประหาร 2557 ก็ใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญชั่วคราว มาตรา 44 ซึ่งให้อำนาจหัวหน้าคสช. ออกคำสั่งใดๆ ที่ถือเป็นกฎหมายสูงสุด เท่ากับว่าบิ๊กตู่ ประยุทธ์ จะทำอะไร จะพ้นผิดไมม่ต้องรับโทษต่อการกระทำไม่ว่าอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคต คำสั่งเหล่านี้ไม่สามารถถูกตรวจสอบโดยฝ่ายตุลาการหรือองค์กรใดๆ ได้ คำสั่งหัวหน้าคสช. ทั้งหมด 207 ฉบับที่ออกในช่วงปี 2557-2562 มีเนื้อหาครอบคลุมตั้งแต่การบริหารราชการไปจนถึงการจำกัดสิทธิเสรีภาพ และถือเป็นการปกครองโดยกฤษฎีกา (decree) แทนที่จะปกครองโดยกฎหมายที่ผ่านสภา หลักนิติธรรมที่ว่าการใช้อำนาจรัฐต้องเป็นไปตามกฎหมายที่ยุติธรรมถูกบิดเบือนไปโดยสิ้นเชิง
การใช้กฎหมายพิเศษและอำนาจนอกรัฐธรรมนูญนำมาซึ่งการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างกว้างขวาง ผู้คนจำนวนมากถูกละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐาน อาทิ สิทธิในชีวิตและร่างกาย (กรณีผู้ถูกควบคุมตัวโดยไร้การติดต่อ ซึ่งสุ่มเสี่ยงต่อการถูกทำร้าย) สิทธิในกระบวนการที่ถูกต้องตามกฎหมาย (ถูกควบคุมตัวโดยไม่ตั้งข้อหาและไม่ผ่านศาล) และสิทธิในเสรีภาพความคิดเห็นและการแสดงออก ดังที่กล่าวไปแล้วข้างต้น นอกจากนี้ยังมีกรณีการดำเนินคดีกับพลเมืองในศาลทหาร แทนที่จะเป็นศาลพลเรือนตามปกติ ภายหลังรัฐประหาร 2557 มีการออกคำสั่งให้ความผิดบางประเภท เช่น ความผิดฐานฝ่าฝืนคำสั่งคสช. หรือคดีความมั่นคง ถูกพิจารณาในศาลทหาร แม้จำเลยจะเป็นพลเรือนก็ตาม
การพิจารณาคดีในศาลทหารปิดโอกาสจำเลยในการได้รับการไต่สวนที่เป็นธรรมตามมาตรฐานปกติ (เช่น ผู้พิพากษาเป็นเจ้าหน้าที่ทหารที่อยู่ใต้บังคับบัญชาคสช.) ซึ่งถือเป็นการละเมิดหลักการพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรมอย่างชัดเจน มีรายงานด้วยว่าระหว่างปี 2557-2559 มีพลเรือนหลายร้อยคนถูกนำตัวขึ้นศาลทหารในข้อหาต่างๆ ตั้งแต่การชุมนุมประท้วง ไปจนถึงความผิดฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพและความผิดตามกฎหมายคอมพิวเตอร์ นี่เป็นการถอยหลังของกระบวนการยุติธรรมไทยอย่างมาก
รัฐประการทำประเทศไทยล้าหลัง เสียโอกาสความเจริญ
ภาวะการเมืองที่ไม่นิ่งทำให้ไทยพลาดโอกาสดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศในโครงการใหม่ๆ หลายโครงการ นักลงทุนต่างชาติบางส่วนถอนการลงทุนหรือชะลอแผนขยายธุรกิจในไทย เปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนที่มีเสถียรภาพทางการเมืองมากกว่า กลุ่มประเทศ CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม) กลับได้รับส่วนแบ่ง FDI เพิ่มขึ้น สวนทางกับไทยที่ส่วนแบ่ง FDI ต่อ GDP ลดลงนับตั้งแต่หลังปี 2006 เป็นต้นมา
ช่วงทศวรรษที่ผ่านมาไทยเสียโอกาสในการเป็นศูนย์กลางการลงทุนในภูมิภาคไปหลายส่วน ขณะที่เวียดนามหรืออินโดนีเซียดึงดูดนักลงทุนแทน การหยุดชะงักของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งทำให้หลายโครงการเศรษฐกิจหยุดลง เช่น การเจรจาข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) กับต่างประเทศก็สะดุดลงอย่างมาก กรณีสหภาพยุโรป (EU) เป็นตัวอย่างที่ชัดเจน เดิมทีไทยเปิดการเจรจา FTA กับอียูตั้งแต่ปี 2556 แต่หลังรัฐประหาร 2557 อียูประกาศระงับการเจรจาทั้งหมดเพื่อตอบโต้การล้มประชาธิปไตย และย้ำให้ไทยคืนสู่ประชาธิปไตยผ่านการเลือกตั้งก่อนจึงจะรื้อฟื้นความสัมพันธ์ด้านการค้า
การระงับนี้กินเวลายาวนานหลายปีจนไทยเสียโอกาสทางการค้าการลงทุนกับตลาดยุโรปไปมาก (การเจรจาเพิ่งเริ่มกลับมาหลังปี 2562 ที่ไทยมีเลือกตั้ง) นอกจากนี้ ไทยยังพลาดโอกาสเข้าร่วมความตกลงการค้าสำคัญระดับภูมิภาคอย่าง ความตกลงหุ้นส่วนข้ามแปซิฟิก (TPP) ในช่วงที่จัดตั้งใหม่ๆ หลังรัฐประหาร 2557 รัฐบาลทหารไทยแสดงท่าทีไม่สนใจเข้าร่วม TPP เนื่องจากมุ่งเน้นนโยบายภายในและเกรงเงื่อนไขด้านการปฏิรูปที่ TPP ต้องการ
ต่อมาเมื่อ TPP กลายเป็น CPTPP ประเทศเพื่อนบ้านหลายประเทศเช่น เวียดนามและมาเลเซียได้เข้าร่วมและได้รับสิทธิประโยชน์ทางการค้าเพิ่ม แต่ไทยกลับยังไม่ได้เข้าร่วมจนถึงปัจจุบัน ซึ่งถือเป็นการเสียโอกาสแข่งขันทางการค้าระหว่างประเทศไปอย่างมาก
ความไม่ต่อเนื่องของนโยบายรัฐอันเนื่องจากการรัฐประหารทำให้โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานหลายด้านล่าช้าหรือถูกยกเลิก ประเทศไทยเสียเวลาไปกับการเปลี่ยนผ่านอำนาจและรื้อแผนต่างๆ เช่น โครงการระบบรางและคมนาคมขนส่งมวลชนขนาดใหญ่ที่เคยวางแผนโดยรัฐบาลก่อนหน้าถูกทบทวนใหม่หมดในยุครัฐประหาร แม้บางโครงการจะได้ไปต่อแต่ก็ล่าช้ากว่าแผนเดิมหลายปี งบประมาณจำนวนมากที่ควรจะถูกใช้ในการพัฒนาถูกจัดสรรใหม่ในยุครัฐประหารเพื่องานด้านความมั่นคงหรือโครงการประชานิยมระยะสั้นบางอย่างของคสช. เช่น โครงการประชารัฐ ทำให้เงินลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่แท้จริงไม่ตรงตามเป้าหมายเท่าที่ควร

แต่เดิมไทยมีศักยภาพจะพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานให้ทัดเทียมประเทศเพื่อนบ้านหรือประเทศพัฒนา เช่น โครงการรถไฟความเร็วสูงทั่วประเทศ ของ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ แต่การหยุดชะงักทางการเมืองทำให้หลายโครงการยุทธศาสตร์ล่าช้า โครงสร้างพื้นฐานไทยหลายส่วนจึงยังล้าหลังกว่าที่ควร ไม่ว่าจะเป็นเครือข่ายขนส่ง ระบบราง สนามบิน หรือโครงข่ายดิจิทัล ตัวอย่างเช่น การประมูลคลื่นความถี่ 4G ที่ล่าช้าจนไทยตามหลังประเทศอื่น
สภาพแวดล้อมภายใต้รัฐบาลทหารที่ควบคุมการแสดงความคิดเห็นอย่างเข้มงวด ส่งผลทางอ้อมต่อบรรยากาศการวิจัย การศึกษา และนวัตกรรมของประเทศ สังคมที่เสรีภาพถูกจำกัดมักไม่เอื้อต่อการคิดสร้างสรรค์หรือนวัตกรรมใหม่ๆ ช่วงหลังรัฐประหาร 2557 มหาวิทยาลัยและสถาบันการศึกษาถูกตรวจสอบการเรียนการสอนด้านการเมือง นักวิชาการบางส่วนถูกกดดันไม่ให้แสดงความคิดเห็นที่ขัดกับรัฐ ส่งผลให้งานวิจัยหรือบทสนทนาทางวิชาการในหัวข้อสังคมการเมืองถูกสกัดกั้น ปรากฏการณ์ “สมองไหล” ก็เกิดขึ้นเมื่อคนมีความสามารถหรือคนรุ่นใหม่บางส่วนเลือกย้ายถิ่นฐานไปทำงานต่างประเทศเนื่องจากสภาพการเมืองไม่น่าดึงดูดและขาดเสรีภาพในการประกอบอาชีพและดำเนินชีวิต
ความล่าช้าทางเทคโนโลยีของไทยในบางสาขา เช่น การปรับตัวสู่เศรษฐกิจดิจิทัล ส่วนหนึ่งอาจมาจากการที่รัฐบาลขาดความชอบธรรมและสมาธิที่จะผลักดันนโยบายระยะยาวอย่างจริงจังในช่วงเปลี่ยนผ่านดังกล่าว ประเทศไทยในยุครัฐประหารอาจรักษาเสถียรภาพไว้ได้ในระดับหนึ่ง แต่ก็ต้องแลกกับการหยุดนิ่งหรือถอยหลังในด้านนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์เมื่อเทียบกับโลกที่ก้าวไปข้างหน้า
กำเนิดค่านิยม 12 ประการ ความหวังปลูกฝังเมล็ดพันธุ์ของคณะรัฐประหาร
ตลอดช่วงเวลาหลังรัฐประหาร การปฏิรูปการศึกษาที่จำเป็นต่อการพัฒนาทุนมนุษย์ไทยแทบจะหยุดชะงัก รัฐบาลรัฐประหารแม้ประกาศนโยบายปลูกฝัง “ค่านิยม 12 ประการ” เพื่อปลูกฝังความจงรักภักดีและคุณธรรมให้เยาวชน แต่กลับไม่ได้ปรับปรุงคุณภาพการศึกษาขั้นพื้นฐานหรืออุดมศึกษาในเชิงโครงสร้างมากนัก
โรงเรียนและครูยังเผชิญปัญหาเดิมๆ แต่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบ บรรยากาศการศึกษากลับถูกครอบงำด้วยแนวคิดอนุรักษ์นิยมที่เน้นความสามัคคีภายใต้กรอบ มากกว่าจะส่งเสริมการคิดวิเคราะห์และการมีส่วนร่วมทางสังคมอย่างเปิดกว้าง นักเรียน นิสิต นักศึกษา ที่แสดงออกทางการเมืองกลับถูกจับตามอง ซึ่งบั่นทอนเสรีภาพทางวิชาการ (academic freedom) ของประเทศ ผลลัพธ์คือคุณภาพทุนมนุษย์ของไทยในสายตานานาชาติไม่ได้พัฒนาเต็มที่เท่าที่ควรในทศวรรษที่ผ่านมา เมื่อเทียบกับบางประเทศที่เดินหน้าปฏิรูปการศึกษาควบคู่กับการพัฒนาเศรษฐกิจ

การรัฐประหารทำให้สถานะและภาพลักษณ์ของไทยในสายตานานาชาติถดถอยลง ประเทศไทยสูญเสียบทบาทความเป็นผู้นำในบางเวทีที่เคยมี เนื่องจากขาดความชอบธรรม เช่น หลังรัฐประหาร 2557 ประเทศตะวันตกหลายประเทศลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูตกับไทย ช่วงปีแรกๆ สหรัฐฯ ระงับความช่วยเหลือทางทหารบางส่วนและยกเลิกการฝึกซ้อมทางทหารบางรายการกับไทยตามกฎหมายสหรัฐฯ ที่ห้ามช่วยเหลือรัฐบาลที่มาจากรัฐประหาร
หลายชาติแสดงท่าทีเย็นชา ทำให้ไทยถูกกันออกจากความร่วมมือบางโครงการชั่วคราว (เช่น ถูกยกเว้นจากการฝึก RIMPAC ในปี 2557
สำหรับเวทีภูมิภาค แม้ไทยยังคงบทบาทในอาเซียนและองค์กรเอเชียแปซิฟิกต่างๆ แต่ความน่าเชื่อถือในฐานะประเทศประชาธิปไตยลดลง กรณีตัวอย่างที่ชัดคือเมื่อไทยดำรงตำแหน่งประธานอาเซียนปี 2552 (หลังรัฐประหาร 2549) การเมืองในประเทศที่ไม่มั่นคงส่งผลให้การจัดประชุมสุดยอดอาเซียนที่พัทยาปี 2552 ล้มเหลวจากเหตุชุมนุมบุกสถานที่ประชุม ซึ่งภาพลักษณ์ไทยเสียหายบนเวทีโลก เหตุการณ์เช่นนี้ทำให้ไทยสูญเสียโอกาสในการแสดงศักยภาพการเป็นผู้นำภูมิภาค บทบาทในการเจรจาต่อรองระหว่างประเทศของไทยลดความถ่วงดุลลง
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
- เท้ง ขอบคุณประชาชน ไว้ใจเป็นนายกฯ เบอร์1 ดึงสติอย่ากวักมือเรียก “รัฐประหาร”
- รังสิมันต์ โรม ชี้บทเรียนจากอดีต อย่าให้ใครใช้พลังประชาชนเพื่อรัฐประหาร
- พรรคประชาชน ประณาม คณะรวมพลังแผ่นดิน สร้างความชอบธรรมรัฐประหาร
ติดตาม The Thaiger บน Google News: