การเงินเศรษฐกิจ

ไทยไม่เจริญ หยุดร้องหา ‘รัฐประหาร’ วงจรอุบาทว์ ทำลายเศรษฐกิจ การเมืองพินาศ

ม็อบไล่นายก ไม่ควรเป็นสารตั้งต้น ‘รัฐประหาร’ หยุดวงจรอุบาทว์ ทำลายเศรษฐกิจ การเมืองพินาศ

วันที่ 28 มิถุนายน 2568 พื้นที่รอบอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิถูกจับจองด้วยธงไตรรงค์และเต็นท์อาสาสมัคร คณะรวมพลังแผ่นดิน ตั้งแต่ 07.00 น. ผู้ชุมนุมทยอยมาถวายสังฆทานและบวงสรวง ก่อนที่เวทีปราศรัยจะเปิดไมค์เที่ยงตรง บรรยากาศเช้านั้นถูกสื่อมวลชนบันทึกว่า “คึกคักตั้งแต่แสงแรก”

ตลอดวัน ชานพลับพลาถูกย้อมด้วยวาทะแห่ง “การปกป้องอธิปไตย” แกนนำอย่าง จตุพร พรหมพันธุ์, นิติธร ล้ำเหลือ และ ปานเทพ พัวพงศ์พันธ์ ผลัดกันจี้จุดอ่อนรัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร ตั้งแต่ปัญหาเศรษฐกิจ ไปจนถึงคลิปสนทนาชายแดนไทย-กัมพูชา ที่เพิ่งหลุดว่อนโซเชียล กล่าวหาว่า รัฐบาลยอมอ่อนข้อให้เพื่อนบ้าน

ผู้ประท้วงรวมตัวกันที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิเรียกร้องให้นายแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีลาออก ในกรุงเทพมหานคร ประเทศไทย วันเสาร์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2568
(AP Photo/Sakchai Lalit)

ช่วงเย็นเสียงบนเวทีดังขึ้นอีกระลอก เมื่อ “หรั่ง ร็อคเคสตร้า” ชัชชัย สุขขาวดี ขึ้นร้องเพลงพระราชนิพนธ์ “ความฝันอันสูงสุด” และ “เราสู้” ปลุกมวลชนโบกธงร้องคลอตาม ก่อนตัวแทนกลุ่มจะอ่านบทกวี “เพลงชาติไทยผูกใจเรา” และแถลงการณ์ยาว 7 ข้อ กดดันให้นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีลาออกทันที

มุมสูงจากโดรนของสื่อทางเลือกประเมินว่าฝูงชนแตะหลัก ห้าหมื่น ขณะที่กองบัญชาการตำรวจนครบาลแจ้งยอดราว 20,000 คน ต่างฝ่ายต่างสำแดงตัวเลขเพื่อยืนยันพลังหรือการควบคุมสถานการณ์ของตนเอง

กระแสตอบโต้ดังกระทบกลับ พรรคประชาชนออกแถลงการณ์ประณามถ้อยคำบนเวทีว่า “ปลุกระดมเปิดทางรัฐประหาร” ขณะที่ โฆษกพรรคเพื่อไทย ย้ำสิทธิการชุมนุมอันสงบ แต่เตือนว่าไม่ควรล้ำเส้นเกลียดชังทางการเมือง

เวลาประมาณ 21.45 น. จตุพรประกาศยุติการชุมนุม เสียงขลุ่ยจาก อาจารย์ธนิสร์ ศรีกลิ่นดี ดังก้องเป็นสัญญาณส่งผู้คนทยอยกลับ พร้อมนัดหมายครั้งต่อไปโดยยังไม่กำหนดวันชัดเจน

ปูมหลัง “รวมพลังแผ่นดิน” กลุ่มนี้ค่อยๆ สะสมแรงตั้งแต่ปลายมิถุนายน ด้วยข้อเรียกร้องให้รัฐบาลทบทวนยุทธศาสตร์ความมั่นคงชายแดนและฟื้นฟูเศรษฐกิจชุมชน คำประกาศปกป้องอธิปไตย ถูกร้อยเข้ากับความทรงจำปี 2549 และ 2557 ที่เคยนำไปสู่การรัฐประหาร จนฝ่ายตรงข้ามหวั่นว่า ประวัติศาสตร์อาจซ้ำ

ผลเสียรัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2549 รัฐบาลทักษิณ พ.ศ. 2557 รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

เศรษฐกิจไทย ตลาดทุน ค่าเงินบาทผันผวนอย่างเห็นได้ชัด เช่น ภายหลังรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับลดลงทันที ดัชนี SET ลดลง 4.2% ในวันเปิดตลาดวันแรกหลังรัฐประหาร ขณะที่ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงอย่างรวดเร็ว

ส่วนในปี 2557 แม้ตลาดหุ้นและเงินบาทจะผันผวนในช่วงแรก แต่การยุติความวุ่นวายทางการเมืองชั่วคราวทำให้นักลงทุนบางส่วนมีความเชื่อมั่นขึ้นว่าความไม่แน่นอนระยะสั้นสิ้นสุดลง สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือสากลได้ออกมาตรการระมัดระวังต่อไทยทันทีหลังรัฐประหาร เช่น S&P และ Fitch ประกาศจับตาความน่าเชื่อถือของไทยในเชิงลบ เตือนว่าอาจลดอันดับเครดิตหากสถานการณ์การเมืองเสื่อมถอยลงต่อเนื่อง ส่วน Moody’s แม้จะคงอันดับเครดิตไทยไว้ แต่ก็เตือนว่าการยึดอำนาจเป็นปัจจัยลบต่อบรรยากาศลงทุนและความเชื่อมั่น

ผลกระทบในระยยาว ทั้งการลงทุน การเติบโต และศักยภาพการแข่งขันของประเทศ ความไม่แน่นอนทางการเมืองทำให้นักลงทุนต่างชาติชะลอหรือย้ายการลงทุนไปประเทศเพื่อนบ้าน ส่งผลให้สัดส่วนเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ในไทยลดลงอย่างต่อเนื่องหลังปี 2549 และตกต่ำลงอีกหลังวิกฤตน้ำท่วม 2554 เรื่อยไปจนถึงรัฐประหาร 2557 ซบเซาไม่มีฟื้น

ข้อมูลชี้ว่าอัตราการขยายตัวของ GDP ไทยชะลอตัวลงอย่างชัดเจนในช่วงวิกฤตการเมือง เช่น ไตรมาสสุดท้ายของปี 2549 เศรษฐกิจไทยขยายตัวเพียง 4.2% ลดลงจากไตรมาสก่อนหน้าที่โต 5-6% ส่วนปี 2557 GDP ไทยโตเพียงประมาณ 1% ซึ่งต่ำมากเมื่อเทียบกับศักยภาพเดิม (ปี 2556 โต 2.7% และปี 2557 เพียง 1% จากเหตุชุมนุมใหญ่และรัฐประหาร) ก่อนจะฟื้นตัวปานกลางที่ระดับ ~3% ในปีถัดๆ ไป

โชคดีอยู่บ้าง การที่รัฐบาลรัฐประหารรีบคืนอำนาจในปี 2549 จัดเลือกตั้งปี 2550 ทำให้โลกภายนอกไม่ลงโทษไทยด้วยการคว่ำบาตรหนัก เศรษฐกิจจึงดีดกลับได้เร็วในปี 2550 ตรงข้ามกับรัฐประหาร 2557 ที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ถืออำนาจยาวนาน พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ครองเก้าอี้ผู้นำประเทศกว่า 9 ปี ส่งผลให้การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจเป็นไปอย่างเชื่องช้า ต่ำกว่าที่ควรจะเป็น เพราะไร้ประสบการณ์ด้านการบริหารเศรษฐกิจมหภาค แม้ภาคเอกชนและภาคส่งออก/ท่องเที่ยว

นักวิเคราะห์บางรายถึงกับเรียกประเทศไทยช่วงทศวรรษหลังรัฐประหาร 2557 ว่า “ทศวรรษที่สูญหาย” เพราะเศรษฐกิจไทยเดินหน้าช้าลง ขาดโอกาสก้าวกระโดด ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านเติบโตแซงหน้าไทยไปมาก รายได้ประชากรไทยยังติดอยู่ในกับดักรายได้ปานกลาง ในขณะที่มาเลเซียก้าวสู่ประเทศรายได้สูง และอินโดนีเซียกลายเป็นประเทศรายได้ปานกลางระดับสูงแล้ว

รัฐประหาร ปล้นโอกาสร่ำรวยของประเทศ 10.97 ล้านล้านบาท

มีการประเมินเชิงมหภาคว่าความสูญเสียทางเศรษฐกิจสะสมจากรัฐประหาร 2549 อาจสูงถึงประมาณ 10.97 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นความเสียหายโอกาสทางเศรษฐกิจที่หายไปยาวนานกว่าสิบกว่าปี แม้ว่าประเทศไทยจะรักษาเสถียรภาพทางการเงินการคลังไว้ได้ หนี้สาธารณะไม่สูง เงินสำรองระหว่างประเทศแข็งแกร่ง ทำให้ยังไม่ถูกลดอันดับเครดิตลงสู่ระดับต่ำ แต่บรรยากาศการลงทุนและความเชื่อมั่นของตลาดทุนก็ถดถอยลงอย่างมีนัยสำคัญหลังการรัฐประหารทุกครั้ง

เสรีภาพ บทบาทภาคประชาชนถูกคุกคาม

รัฐประหารทั้งสองครั้งเกิดขึ้นท่ามกลางความขัดแย้งทางการเมืองที่ฝังลึกในสังคมไทย ความคิดประชาชนแตกแยกยิ่งฝังรากลึกกว่าเดิม คณะรัฐประหารเองยอมรับเหตุผลหนึ่งของการยึดอำนาจปี 2557 คือ “ความขัดแย้งทางความคิดอย่างรุนแรงจนถึงระดับครอบครัวคนไทย” สังคมแบ่งฝ่ายทางการเมืองจนความสัมพันธ์ในครอบครัวกระทบถึงพ่อแม่กับลูก

ประชาชนกลุ่มหนึ่งสนับสนุนการรัฐประหารเพราะเชื่อว่าเป็นทางออกจากวิกฤต ในขณะที่อีกจำนวนมากต่อต้าน มองว่าเป็นการทำลายประชาธิปไตย ส่งต่ออำนาจให้กลุ่มคนเพียงหยิบมือ ไม่ใช่การแก้ปัญหาที่แท้จริง ฝ่ายสนับสนุนรัฐประหารตราหน้าฝั่งตรงข้ามว่าไม่รักษา ความเชื่อมั่นต่อระบบการเมืองประชาธิปไตยสั่นคลอน หลายคนรู้สึกหมดหวังหรือเฉยเมยทางการเมืองเมื่อเห็นว่าการเลือกตั้งที่ผ่านมาถูกล้มล้างโดยอำนาจนอกระบบ

Protesters gather at Victory Monument demanding Thailand's Prime Minister Paetongtarn Shinawatra resign in Bangkok, Thailand, Saturday, June 28, 2025.
(AP Photo/Wason Wanichakorn)

ความเชื่อถือในสถาบันต่าง ๆ เช่น ระบบรัฐสภา พรรคการเมือง ตุลาการ และสื่อมวลชน ก็ถูกตั้งคำถามจากประชาชนทั้งสองฝั่ง บ้างก็เห็นว่าสถาบันเหล่านี้ถูกแทรกแซงหรือเลือกข้างทางการเมือง ความไว้วางใจต่อกันในหมู่ประชาชนและต่อสถาบันลดลงจนน่าเป็นห่วง

รัฐประหารส่งผลให้สิทธิเสรีภาพพื้นฐานของประชาชนถูกจำกัดอย่างเข้มงวด หลังรัฐประหาร 2557 คณะรัฐประหารใช้กฎอัยการศึก คำสั่งพิเศษในการควบคุมการแสดงออกอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน มีการเซ็นเซอร์สื่อทุกรูปแบบ ปิดสถานีโทรทัศน์และวิทยุชั่วคราว บังคับให้ทุกช่องออกอากาศรายการของกองทัพในช่วงแรกทันที

สื่อมวลชนถูกห้ามวิจารณ์คณะรัฐประหาร รายการทีวีวิทยุถูกสั่งห้ามเชิญผู้แสดงความเห็นที่มีท่าที “ไม่เป็นคุณ” ต่อคณะทหาร มิฉะนั้นจะถูกดำเนินคดีหรือปิดสถานี คสช. ควบคุมโซเชียลมีเดียอย่างใกล้ชิด ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตถูกเรียกไปกำชับให้เซ็นเซอร์เนื้อหาการเมืองตามที่คสช. ต้องการ

ผลคือบรรยากาศสังคมไทยหลังรัฐประหารเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและการเซ็นเซอร์ตัวเอง ประชาชนจำนวนมากหลีกเลี่ยงการวิจารณ์การเมืองหรือแสดงออกทางความคิดเนื่องจากเกรงผลกระทบที่จะตามมา ดัชนีเสรีภาพสื่อของไทยตกต่ำลง เช่น ปี 2558 ไทยอยู่ที่อันดับ 136 ของโลก ลดลงจากอันดับ 134 ในปีก่อนหน้า หลังสื่อถูกควบคุมอย่างหนักในยุครัฐประหาร

Protesters gather at Victory Monument demanding Thailand's Prime Minister Paetongtarn Shinawatra resign in Bangkok, Thailand, Saturday, June 28, 2025.
(AP Photo/Wason Wanichakorn)

ภาคประชาสังคมเองก็ถูกจำกัดบทบาทอย่างหนักหลังรัฐประหาร 2557 องค์กรและเครือข่ายประชาชนที่เคลื่อนไหวทางการเมืองหรือเรียกร้องสิทธิถูกจับตาและปิดกั้นอย่างต่อเนื่อง แกนนำชุมชน นักวิชาการ และนักกิจกรรมหลายรายถูกเรียกปรับทัศนคติหรือควบคุมตัวโดยไม่ตั้งข้อหาในช่วงแรกๆ ตัวอย่างเช่น มีการออกคำสั่งเรียกบุคคลให้มารายงานตัวกว่า 200 คนทั้งนักการเมืองรัฐบาลที่ถูกโค่นและฝ่ายต่อต้าน เมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 โดยผู้ไม่ไปรายงานตัวจะมีหมายจับ ถูกดำเนินคดี

นักศึกษาและกลุ่มเคลื่อนไหวภาคประชาชนที่ประท้วงเชิงสัญลักษณ์ (เช่น การชูสามนิ้วหรืออ่านหนังสือ 1984 ในที่สาธารณะ) ก็ถูกจับกุมหรือตักเตือนอยู่เนืองๆ กิจกรรมของ NGO ที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐหรือเรียกร้องตรวจสอบถูกสกัดกั้น ภาคประชาสังคมไทยโดยรวมอยู่ในภาวะ “ถูกปิดปาก” หลายปีภายใต้คสช. มีเพียงองค์กรที่ร่วมมือหรือไม่ท้าทายอำนาจรัฐเท่านั้นที่ดำเนินการได้สะดวก ผลคือเสียงของประชาชนถูกลดทอน บทบาทตรวจสอบถ่วงดุลโดยภาคประชาชนถดถอยลงมาก สังคมไทยสูญเสียพลังขับเคลื่อนจากฐานรากไปไม่น้อยตอนนั้น

รัฐประหาร ทำลายความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมาย กระบวนการยุติธรรม

การรัฐประหาร ถือเป็นการกบฏ โทษคือประหารชีวิต คณะทหารจึงต้องฉีกรัฐธรรมนูญ กฎหมายสูงสุดของประเทศ ทำลายหลักนิติธรรม (Rule of Law) อย่างรุนแรง คณะรัฐประหาร 2549 และ 2557 ต่างประกาศให้รัฐธรรมนูญฉบับที่ใช้อยู่ในขณะนั้นสิ้นสุดลง ยกเว้นบทบัญญัติว่าด้วยสถาบันพระมหากษัตริย์ จากนั้นปกครองด้วยคำสั่ง ประกาศของตนเองซึ่งถือเป็น “กฎหมาย” เฉพาะหน้าขึ้นมาใหม่ทันที

กฎอัยการศึก ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการปกครองหลังรัฐประหาร ปี 2557 ที่มีการอ้างใช้ พระราชบัญญัติกฎอัยการศึก พ.ศ. 2457 เพื่อให้อำนาจทหารอย่างเบ็ดเสร็จในการจำกัดสิทธิเสรีภาพต่างๆ และให้อำนาจทหารพ้นจากการถูกฟ้องร้องเอาผิดในช่วงเวลานั้น ภายใต้กฎอัยการศึก เจ้าหน้าที่ทหารสามารถจับกุมควบคุมตัวบุคคลได้โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการศาล (ควบคุมตัวได้ถึง 7 วันโดยไม่ตั้งข้อหา) สามารถตรวจค้น ยึดทรัพย์ หรือห้ามการเดินทางได้โดยไม่ต้องมีหมายศาล มีอำนาจสั่งปิดสื่อหรือห้ามการชุมนุมได้ตามดุลยพินิจตนเอง ช่วงที่ประกาศกฎอัยการศึก ไทยอยู่ในภาวะ “นอกระบบกฎหมาย” ที่การกระทำของเจ้าหน้าที่ไม่อยู่ใต้การตรวจสอบถ่วงดุลตามปกติ

พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรัฐประหาร คสช ล้มรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

ต่อมา แม้จะยกเลิกกฎอัยการศึกในบางช่วง แต่คณะรัฐประหาร 2557 ก็ใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญชั่วคราว มาตรา 44 ซึ่งให้อำนาจหัวหน้าคสช. ออกคำสั่งใดๆ ที่ถือเป็นกฎหมายสูงสุด เท่ากับว่าบิ๊กตู่ ประยุทธ์ จะทำอะไร จะพ้นผิดไมม่ต้องรับโทษต่อการกระทำไม่ว่าอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคต คำสั่งเหล่านี้ไม่สามารถถูกตรวจสอบโดยฝ่ายตุลาการหรือองค์กรใดๆ ได้ คำสั่งหัวหน้าคสช. ทั้งหมด 207 ฉบับที่ออกในช่วงปี 2557-2562 มีเนื้อหาครอบคลุมตั้งแต่การบริหารราชการไปจนถึงการจำกัดสิทธิเสรีภาพ และถือเป็นการปกครองโดยกฤษฎีกา (decree) แทนที่จะปกครองโดยกฎหมายที่ผ่านสภา หลักนิติธรรมที่ว่าการใช้อำนาจรัฐต้องเป็นไปตามกฎหมายที่ยุติธรรมถูกบิดเบือนไปโดยสิ้นเชิง

การใช้กฎหมายพิเศษและอำนาจนอกรัฐธรรมนูญนำมาซึ่งการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างกว้างขวาง ผู้คนจำนวนมากถูกละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐาน อาทิ สิทธิในชีวิตและร่างกาย (กรณีผู้ถูกควบคุมตัวโดยไร้การติดต่อ ซึ่งสุ่มเสี่ยงต่อการถูกทำร้าย) สิทธิในกระบวนการที่ถูกต้องตามกฎหมาย (ถูกควบคุมตัวโดยไม่ตั้งข้อหาและไม่ผ่านศาล) และสิทธิในเสรีภาพความคิดเห็นและการแสดงออก ดังที่กล่าวไปแล้วข้างต้น นอกจากนี้ยังมีกรณีการดำเนินคดีกับพลเมืองในศาลทหาร แทนที่จะเป็นศาลพลเรือนตามปกติ ภายหลังรัฐประหาร 2557 มีการออกคำสั่งให้ความผิดบางประเภท เช่น ความผิดฐานฝ่าฝืนคำสั่งคสช. หรือคดีความมั่นคง ถูกพิจารณาในศาลทหาร แม้จำเลยจะเป็นพลเรือนก็ตาม

การพิจารณาคดีในศาลทหารปิดโอกาสจำเลยในการได้รับการไต่สวนที่เป็นธรรมตามมาตรฐานปกติ (เช่น ผู้พิพากษาเป็นเจ้าหน้าที่ทหารที่อยู่ใต้บังคับบัญชาคสช.) ซึ่งถือเป็นการละเมิดหลักการพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรมอย่างชัดเจน มีรายงานด้วยว่าระหว่างปี 2557-2559 มีพลเรือนหลายร้อยคนถูกนำตัวขึ้นศาลทหารในข้อหาต่างๆ ตั้งแต่การชุมนุมประท้วง ไปจนถึงความผิดฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพและความผิดตามกฎหมายคอมพิวเตอร์ นี่เป็นการถอยหลังของกระบวนการยุติธรรมไทยอย่างมาก

รัฐประการทำประเทศไทยล้าหลัง เสียโอกาสความเจริญ

ภาวะการเมืองที่ไม่นิ่งทำให้ไทยพลาดโอกาสดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศในโครงการใหม่ๆ หลายโครงการ นักลงทุนต่างชาติบางส่วนถอนการลงทุนหรือชะลอแผนขยายธุรกิจในไทย เปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนที่มีเสถียรภาพทางการเมืองมากกว่า กลุ่มประเทศ CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม) กลับได้รับส่วนแบ่ง FDI เพิ่มขึ้น สวนทางกับไทยที่ส่วนแบ่ง FDI ต่อ GDP ลดลงนับตั้งแต่หลังปี 2006 เป็นต้นมา

ช่วงทศวรรษที่ผ่านมาไทยเสียโอกาสในการเป็นศูนย์กลางการลงทุนในภูมิภาคไปหลายส่วน ขณะที่เวียดนามหรืออินโดนีเซียดึงดูดนักลงทุนแทน การหยุดชะงักของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งทำให้หลายโครงการเศรษฐกิจหยุดลง เช่น การเจรจาข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) กับต่างประเทศก็สะดุดลงอย่างมาก กรณีสหภาพยุโรป (EU) เป็นตัวอย่างที่ชัดเจน เดิมทีไทยเปิดการเจรจา FTA กับอียูตั้งแต่ปี 2556 แต่หลังรัฐประหาร 2557 อียูประกาศระงับการเจรจาทั้งหมดเพื่อตอบโต้การล้มประชาธิปไตย และย้ำให้ไทยคืนสู่ประชาธิปไตยผ่านการเลือกตั้งก่อนจึงจะรื้อฟื้นความสัมพันธ์ด้านการค้า

การระงับนี้กินเวลายาวนานหลายปีจนไทยเสียโอกาสทางการค้าการลงทุนกับตลาดยุโรปไปมาก (การเจรจาเพิ่งเริ่มกลับมาหลังปี 2562 ที่ไทยมีเลือกตั้ง) นอกจากนี้ ไทยยังพลาดโอกาสเข้าร่วมความตกลงการค้าสำคัญระดับภูมิภาคอย่าง ความตกลงหุ้นส่วนข้ามแปซิฟิก (TPP) ในช่วงที่จัดตั้งใหม่ๆ หลังรัฐประหาร 2557 รัฐบาลทหารไทยแสดงท่าทีไม่สนใจเข้าร่วม TPP เนื่องจากมุ่งเน้นนโยบายภายในและเกรงเงื่อนไขด้านการปฏิรูปที่ TPP ต้องการ

ต่อมาเมื่อ TPP กลายเป็น CPTPP ประเทศเพื่อนบ้านหลายประเทศเช่น เวียดนามและมาเลเซียได้เข้าร่วมและได้รับสิทธิประโยชน์ทางการค้าเพิ่ม แต่ไทยกลับยังไม่ได้เข้าร่วมจนถึงปัจจุบัน ซึ่งถือเป็นการเสียโอกาสแข่งขันทางการค้าระหว่างประเทศไปอย่างมาก

ความไม่ต่อเนื่องของนโยบายรัฐอันเนื่องจากการรัฐประหารทำให้โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานหลายด้านล่าช้าหรือถูกยกเลิก ประเทศไทยเสียเวลาไปกับการเปลี่ยนผ่านอำนาจและรื้อแผนต่างๆ เช่น โครงการระบบรางและคมนาคมขนส่งมวลชนขนาดใหญ่ที่เคยวางแผนโดยรัฐบาลก่อนหน้าถูกทบทวนใหม่หมดในยุครัฐประหาร แม้บางโครงการจะได้ไปต่อแต่ก็ล่าช้ากว่าแผนเดิมหลายปี งบประมาณจำนวนมากที่ควรจะถูกใช้ในการพัฒนาถูกจัดสรรใหม่ในยุครัฐประหารเพื่องานด้านความมั่นคงหรือโครงการประชานิยมระยะสั้นบางอย่างของคสช. เช่น โครงการประชารัฐ ทำให้เงินลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่แท้จริงไม่ตรงตามเป้าหมายเท่าที่ควร

พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตประธาน คมช. ผู้นำรัฐประหาร ปี 2549 โค่นล้มรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร
พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตประธาน คมช. ผู้นำรัฐประหาร ปี 2549 โค่นล้มรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร

แต่เดิมไทยมีศักยภาพจะพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานให้ทัดเทียมประเทศเพื่อนบ้านหรือประเทศพัฒนา เช่น โครงการรถไฟความเร็วสูงทั่วประเทศ ของ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ แต่การหยุดชะงักทางการเมืองทำให้หลายโครงการยุทธศาสตร์ล่าช้า โครงสร้างพื้นฐานไทยหลายส่วนจึงยังล้าหลังกว่าที่ควร ไม่ว่าจะเป็นเครือข่ายขนส่ง ระบบราง สนามบิน หรือโครงข่ายดิจิทัล ตัวอย่างเช่น การประมูลคลื่นความถี่ 4G ที่ล่าช้าจนไทยตามหลังประเทศอื่น

สภาพแวดล้อมภายใต้รัฐบาลทหารที่ควบคุมการแสดงความคิดเห็นอย่างเข้มงวด ส่งผลทางอ้อมต่อบรรยากาศการวิจัย การศึกษา และนวัตกรรมของประเทศ สังคมที่เสรีภาพถูกจำกัดมักไม่เอื้อต่อการคิดสร้างสรรค์หรือนวัตกรรมใหม่ๆ ช่วงหลังรัฐประหาร 2557 มหาวิทยาลัยและสถาบันการศึกษาถูกตรวจสอบการเรียนการสอนด้านการเมือง นักวิชาการบางส่วนถูกกดดันไม่ให้แสดงความคิดเห็นที่ขัดกับรัฐ ส่งผลให้งานวิจัยหรือบทสนทนาทางวิชาการในหัวข้อสังคมการเมืองถูกสกัดกั้น ปรากฏการณ์ “สมองไหล” ก็เกิดขึ้นเมื่อคนมีความสามารถหรือคนรุ่นใหม่บางส่วนเลือกย้ายถิ่นฐานไปทำงานต่างประเทศเนื่องจากสภาพการเมืองไม่น่าดึงดูดและขาดเสรีภาพในการประกอบอาชีพและดำเนินชีวิต

ความล่าช้าทางเทคโนโลยีของไทยในบางสาขา เช่น การปรับตัวสู่เศรษฐกิจดิจิทัล ส่วนหนึ่งอาจมาจากการที่รัฐบาลขาดความชอบธรรมและสมาธิที่จะผลักดันนโยบายระยะยาวอย่างจริงจังในช่วงเปลี่ยนผ่านดังกล่าว ประเทศไทยในยุครัฐประหารอาจรักษาเสถียรภาพไว้ได้ในระดับหนึ่ง แต่ก็ต้องแลกกับการหยุดนิ่งหรือถอยหลังในด้านนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์เมื่อเทียบกับโลกที่ก้าวไปข้างหน้า

กำเนิดค่านิยม 12 ประการ ความหวังปลูกฝังเมล็ดพันธุ์ของคณะรัฐประหาร

ตลอดช่วงเวลาหลังรัฐประหาร การปฏิรูปการศึกษาที่จำเป็นต่อการพัฒนาทุนมนุษย์ไทยแทบจะหยุดชะงัก รัฐบาลรัฐประหารแม้ประกาศนโยบายปลูกฝัง “ค่านิยม 12 ประการ” เพื่อปลูกฝังความจงรักภักดีและคุณธรรมให้เยาวชน แต่กลับไม่ได้ปรับปรุงคุณภาพการศึกษาขั้นพื้นฐานหรืออุดมศึกษาในเชิงโครงสร้างมากนัก

โรงเรียนและครูยังเผชิญปัญหาเดิมๆ แต่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบ บรรยากาศการศึกษากลับถูกครอบงำด้วยแนวคิดอนุรักษ์นิยมที่เน้นความสามัคคีภายใต้กรอบ มากกว่าจะส่งเสริมการคิดวิเคราะห์และการมีส่วนร่วมทางสังคมอย่างเปิดกว้าง นักเรียน นิสิต นักศึกษา ที่แสดงออกทางการเมืองกลับถูกจับตามอง ซึ่งบั่นทอนเสรีภาพทางวิชาการ (academic freedom) ของประเทศ ผลลัพธ์คือคุณภาพทุนมนุษย์ของไทยในสายตานานาชาติไม่ได้พัฒนาเต็มที่เท่าที่ควรในทศวรรษที่ผ่านมา เมื่อเทียบกับบางประเทศที่เดินหน้าปฏิรูปการศึกษาควบคู่กับการพัฒนาเศรษฐกิจ

Protesters gather at Victory Monument demanding Thailand's Prime Minister Paetongtarn Shinawatra resign in Bangkok, Thailand, Saturday, June 28, 2025.
(AP Photo/Sakchai Lalit)

การรัฐประหารทำให้สถานะและภาพลักษณ์ของไทยในสายตานานาชาติถดถอยลง ประเทศไทยสูญเสียบทบาทความเป็นผู้นำในบางเวทีที่เคยมี เนื่องจากขาดความชอบธรรม เช่น หลังรัฐประหาร 2557 ประเทศตะวันตกหลายประเทศลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูตกับไทย ช่วงปีแรกๆ สหรัฐฯ ระงับความช่วยเหลือทางทหารบางส่วนและยกเลิกการฝึกซ้อมทางทหารบางรายการกับไทยตามกฎหมายสหรัฐฯ ที่ห้ามช่วยเหลือรัฐบาลที่มาจากรัฐประหาร

หลายชาติแสดงท่าทีเย็นชา ทำให้ไทยถูกกันออกจากความร่วมมือบางโครงการชั่วคราว (เช่น ถูกยกเว้นจากการฝึก RIMPAC ในปี 2557

สำหรับเวทีภูมิภาค แม้ไทยยังคงบทบาทในอาเซียนและองค์กรเอเชียแปซิฟิกต่างๆ แต่ความน่าเชื่อถือในฐานะประเทศประชาธิปไตยลดลง กรณีตัวอย่างที่ชัดคือเมื่อไทยดำรงตำแหน่งประธานอาเซียนปี 2552 (หลังรัฐประหาร 2549) การเมืองในประเทศที่ไม่มั่นคงส่งผลให้การจัดประชุมสุดยอดอาเซียนที่พัทยาปี 2552 ล้มเหลวจากเหตุชุมนุมบุกสถานที่ประชุม ซึ่งภาพลักษณ์ไทยเสียหายบนเวทีโลก เหตุการณ์เช่นนี้ทำให้ไทยสูญเสียโอกาสในการแสดงศักยภาพการเป็นผู้นำภูมิภาค บทบาทในการเจรจาต่อรองระหว่างประเทศของไทยลดความถ่วงดุลลง

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

ติดตาม The Thaiger บน Google News:

0 0 โหวต
Article Rating
สมัครรับข้อมูล
แจ้งเตือนเกี่ยวกับ
0 Comments
เก่าแก่ที่สุด
ใหม่ล่าสุด ถูกโหวตมากที่สุด
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด

Aindravudh

นักเขียนประจำ Thaiger มีประสบการณ์เขียนข่าวมากกว่า 5 ปี จบการศึกษาด้านภาษาและประวัติศาสตร์ จากคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีความสนใจ ประเด็นความเคลื่อนไหวทางสังคมและการเมือง เจาะประเด็นข่าวทางสังคม ด้วยกลวิธีการเล่าเรื่องแบบย่อยง่าย อย่างงานเขียนสร้างสรรค์ สั้น กระชับ จับทุกประเด็น หัวข้อที่เชียวชาญคือเรื่องไลฟ์สไตล์ เลขเด็ด หวยรัฐบาลไทย หวยลาว ช่องทางติดต่อ vajara@thethaiger.com

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to top button
0
เราอยากทราบความคิดเห็นของคุณ โปรดแสดงความคิดเห็นx