แพทย์แนะนำ ผักต้านมะเร็งสุดทรงพลัง บ้านเราหาง่าย ราคาไม่แพง ย้ำควรกินทุกวัน
ผู้เชี่ยวชาญแนะนำ ผักต้านมะเร็งสุดทรงพลัง ควรกินทุกวัน แถมในบ้านเราหาง่าย และราคาไม่แพงอย่างที่คิด
หลายคนคงเคยได้ยินว่า บร็อกโคลี คือผักที่ต้ามมะเร็งได้ดีที่สุด ต่คุณรู้หรือไม่ว่า? ผักตระกูลหอมที่พบได้ทั่วไปในครัว เช่น หัวหอมใหญ่ ต้นหอมเหลือง กระเทียม และกุยช่าย มีประสิทธิภาพในการต้านมะเร็งไม่แพ้บร็อกโคลีเลย
นายแพทย์จาง สือเหิง แพทย์ห้องฉุกเฉินเผยว่า ผักตระกูลหอมเหล่านี้อุดมไปด้วยสารประกอบซัลเฟอร์อินทรีย์และสารพฤกษเคมีหลายชนิดที่สามารถยับยั้งเซลล์มะเร็งได้ ไม่เพียงแต่ทำให้อาหารหอมน่ากินเท่านั้น แต่ยังมีประสิทธิภาพในการต้านมะเร็งที่น่าทึ่งอีกด้วย
เขาได้แชร์เรื่องนี้ในช่องยูทูบ ภายใต้หัวข้อ “ผักกลุ่มนี้คืออาวุธลับที่ทรงพลังที่สุดในการป้องกันมะเร็ง นั่นคือพืชตระกูลหอมกระเทียม” เขาอธิบายว่า เมื่อหัวหอมถูกหั่น จะปล่อยก๊าซที่มีกำมะถัน (SPSO) เมื่อก๊าซเหล่านี้สัมผัสกับน้ำตาที่ผิวตา จะก่อให้เกิดกรดกำมะถันปริมาณเล็กน้อย ทำให้ตาผลิตน้ำตาจำนวนมากเพื่อชะล้างออก ต้นหอมก็มีผลคล้ายกัน แต่เนื่องจากมีปริมาณน้อยกว่า จึงทำให้เกิดปฏิกิริยาที่อ่อนกว่า
หัวหอมใหญ่ ต้นหอม กระเทียม และกุยช่าย ผัก 4 ชนิดที่มีกลิ่นฉุนนี้มีจุดเด่นร่วมกันอย่างหนึ่ง คือการอุดมไปด้วยสารประกอบซัลเฟอร์อินทรีย์หลายชนิด สารเหล่านี้ไม่เพียงแต่เป็นที่มาของกลิ่นเฉพาะตัว แต่ยังเป็นหัวใจสำคัญของการปรุงรส อย่างไรก็ตาม หากกินมากเกินไปอาจทำให้มีกลิ่นปากได้
ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ ผักตระกูลหอมได้รับความสนใจอย่างกว้างขวางเนื่องจากคุณสมบัติต้านมะเร็ง ผักเหล่านี้อุดมไปด้วยสารประกอบซัลเฟอร์ต้านมะเร็งหลายชนิดและสารอาหารจากพืช เช่น เควอซิติน (quercetin) และฟลาโวนอยด์ ซึ่งมีประสิทธิภาพที่น่าสนใจในการยับยั้งเซลล์มะเร็ง
จาง สือเหิง อ้างข้อมูลจากการศึกษาทางระบาดวิทยาขนาดใหญ่พบว่า คนที่กินผักตระกูลหอมมากที่สุดในแต่ละวัน มีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งกระเพาะ มะเร็งศีรษะและคอ มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งปอด มะเร็งต่อมลูกหมาก และมะเร็งเต้านมลดลงอย่างชัดเจน
สารที่เป็นประโยชน์ในหัวหอมแบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่ นั่นก็คือ สารประกอบซัลเฟอร์อินทรีย์ที่ไวต่อความร้อน และสารโพลีฟีนอลต้านอนุมูลอิสระ ทำให้การรับประทานแบบสดกับสุกนั้นแตกต่างกัน ซึ่งผู้เชี่ยวชาญแนะนำไว้ดังนี้
- กินสด : ได้ประโยชน์ต้านมะเร็งสูงสุด แนะนำให้หั่นแล้วพักไว้ 10 นาทีก่อนกิน
- กินสุก : ควรผัดด้วยไฟอ่อน (ประมาณ 160 องศา) นาน 4-8 นาที จะช่วยปลดปล่อยสารต้านอนุมูลอิสระได้มากขึ้น
- วิธีกินที่ดีที่สุด : สลับกินทั้งแบบสดและแบบสุก เพื่อให้ได้คุณค่าทางโภชนาการสูงสุด
นอกจากนี้ กระเทียมดำ ทำจากกระเทียมสดที่นำไปหมักในอุณหภูมิ 60 องศา ความชื้นประมาณ 80% เป็นเวลาหลายสัปดาห์ งานวิจัยพบว่า กระเทียมดำมีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระที่แรงกว่า ส่วนกระเทียมสดมีประสิทธิภาพในการต้านการอักเสบที่ดีกว่า
จาง สือเหิง เตือนเป็นพิเศษว่า ผักตระกูลหอมเป็นพิษต่อสัตว์เลี้ยง เนื่องจากมีสารซัลเฟอร์ DPDS ที่อาจทำให้สัตว์เลี้ยงเป็นโรคโลหิตจาง ในกรณีร้ายแรงอาจทำให้เกิดภาวะหัวใจล้มเหลว หายใจล้มเหลว และอาการอื่นๆ เจ้าของสัตว์เลี้ยงไม่ควรให้กิน และระหว่างหั่นผักก็ควรระวังไม่ให้สัตว์เลี้ยงเข้าใกล้ด้วย
อ้างอิง : health.ettoday.net
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
- แตงโม ผลไม้เนื้อฉ่ำชื่นใจ แต่คน 4 กลุ่มนี้ ไม่ควรกิน เสี่ยงอันตราย
- ชาย 25 ช็อก ไตเสื่อมไม่รู้ตัว 3 สัญญาณคนหนุ่มสาวละเลย
- ผลศึกษาใหม่ พบสารตะกั่ว-แคดเมียมในผงเวย์โปรตีน เกินค่ามาตรฐาน ควรกังวลแค่ไหน