คุณแม่ชาวจีนผิดสังเกต ลูกสาวอวดรูปวาดสัญลักษณ์ประหลาดบนหลังมือ อ้างครูที่โรงเรียนวาดให้ จึงได้แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ พบแท้จริง ครู คนดังกล่าวเป็นหนึ่งในสมาชิกองค์กรค่ามนุษย์ หรือ แก๊งลักพาตัวเด็ก
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา มีข่าวชวนระทึกอีกครั้ง เมื่อตำรวจได้ทำการจับกุม ครู ที่เป็นสมาชิกขององค์กรค่าเด็ก หรือ แก๊งลักเด็ก เหตุเกิดจากคุณแม่ชาวจีนท่านหนึ่งเล่าว่า เห็นรูปวาดประหลาดสัญลักษณ์แปลก ๆ บนหลังมือของลูกสาววัย 4 ขวบ ที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับชั้นอนุบาล โดยลูกสาวคนดังกล่าวมักจะพูดคุยกับคุณพ่อคุณแม่เกี่ยวกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในโรงเรียนตามประสาเด็กทั่วไปที่ต้องการบอกเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ซึ่งคุณพ่อคุณแม่มักจะถามลูกสาวว่าที่โรงเรียนเป็นอย่างไรบ้าง หากมีเรื่องเศร้าไม่สบายใจก็สามารถเล่าให้พ่อกับแม่ฟังได้ทั้งหมด
กระทั่งเย็นวันหนึ่ง หลังจากที่ลูกสาวตัวน้อยวัย 4 ขวบ กลับมาจากโรงเรียน คุณแม่ได้จูงมือลูกสาวให้มานั่งตักพร้อมกับสอบถามเรื่องการเล่าเรียนในวันนี้ แต่คุณแม่ก็ได้เหลือบไปเห็นรูปวาดลายแปลก ๆ บริเวณหลังมือของลูกสาว ก่อนจะถามออกไปว่า “นี่คืออะไรคะลูก?”
ลูกสาวของเธอก็ตอบกลับมาด้วยความไร้เดียงสาว่า “นี่คือรหัสผ่านของคุณครู และคุณครูบอกว่าอย่าบอกพ่อแม่นะ” เมื่อผู้เป็นแม่ได้ยินเช่นนั้นก็เกิดความกังวลเป็นอย่างยิ่ง แล้วจึงพยายามถามต่อเนื่องอย่างค่อยเป็นค่อยไป จนลูกน้อยของเธอยอมเราออกมาทั้งหมด มีใจความว่า
หลังเลิกเรียนเย็นวันนี้ ลูกสาวของวัย 4 ขวบของเธอกำลังรอรถกลับบ้าน จากนั้นก็มีผู้หญิงที่อ้างว่าเป็นครู มาคัดเลือกนักเรียนเพื่อเปิดคลาสสอนเต้นแอโรบิก และหลังจากเต้นเสร็จ ผู้ที่อ้างเป็นครูคนดังกล่าว จึงวาดรูปดอกไม้อันเป็นสัญลักษณ์บนหลังมือ พร้อมกับสั่งให้มารวมตัวกับเพื่อน ๆ เพื่อที่ครูจะพาพวกเด็ก ๆ ไปกินไก่ทอดเป็นรางวัลที่สามารถเต้นได้สวย อีกทั้งครูยังได้ย้ำเตือนกับเธอว่าห้ามบอกเรื่องนี้กับพ่อแม่ผู้ปกครองเด็ดขาด
เมื่อคุณแม่ได้ยินลูกเล่าเช่นนั้น ร่างกายก็สั่นเทาด้วยความกลัว เช้าวันถัดมาเธอจึงรุดไปแจ้งเหตุการณ์ทั้งหมดแก่เจ้าหน้าที่ตำรวจ ผ่านไปไม่นานตำรวจก็ได้สืบสาวแผนดังกล่าวและได้ไปพบกับครูที่หลังโรงเรียน ความจริงจึงได้เปิดเผยออกมาว่า “ครู” คนดังกล่าว เป็นหนึ่งในสมาชิกองค์กรค้าเด็ก หรือ “แก๊งค้าเด็ก”
เรียกว่านับเป็นโชคดีของคุณแม่ชาวจีนและลูกสาวที่ได้ไหวตัวทัน และเป็นการแสดงให้เห็นว่าการสอบถามลูกเล็กเด็กแดงในแต่ละวันนั้นมีความจำเป็นและสำคัญมากแค่ไหนนั่นเองครับ.
อ้างอิง : 1
