วิกฤติหนัก กกพ. ย้ำ ค่าไฟไม่ต่ำกว่าหน่วยละ 4 บาท อีกต่อไป เตือนประชาชนเตรียมรับมือค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น หลังต้องนำเข้าก๊าซแพงจากต่างประเทศ
ประชาชนเตรียมรับมือค่าไฟแพง หลัง กกพ. ออกมาประกาศย้ำเตือนว่าค่าไฟจะไม่ต่ำกว่าหน่วยละ 4 บาทอีกต่อไปแล้ว หลังเกิดวิกฤติด้านพลังงานอย่างหนักหน่วง โดยมีสาเหตุทั้งจากก๊าซในประเทศไทยมีปริมาณลดลง ทำให้การผลิตไม่เพียงพอ และสาเหตุจากกราคาก๊าซนำเข้าที่สูงขึ้น ส่งผลให้ค่าไฟฟ้าทะยานตัวขึ้นสูง ภาระค่าใช้จ่ายจึงตกมาอยู่ที่ประชาชน
ล่าสุดวันที่ 12 ก.ย. 65 นายคมกฤช ตันตระวาณิชย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ได้เปิดเผยในงานสัมมนาวิชาการประจำปี Energy Symphosium 2022 ซึ่งจัดโดยสถาบันพลังงานเพื่ออุตสาหกรรม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เรื่องวิกฤตพลังงานและแผนของประเทศ ว่าค่าไฟฟ้าเฉลี่ยรวมที่ประชาชนต้องจ่ายจะไม่ต่ำกว่าหน่วยละ 4 บาทอีกต่อไปแล้ว
จากสภาวะวิกฤติที่เชื้อเพลิงมีการเปลี่ยนแปลง จากที่เคยพึ่งพาก๊าซฯ อ่าวไทยเป็นเชื้อเพลิงที่ราคาต่ำในสัดส่วนที่สูง 60% ได้ปรับลดลง เนื่องจากปริมาณก๊าซที่จำกัดทั้งจากแหล่งเอราวัณและเมียนมา ส่งผลให้ไทยมีการนำเข้ามากขึ้นจากต่างประเทศโดยเฉพาะรูปแบบก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) สูงขึ้น
ทั้งนี้ ครึ่งแรกของปี 2565 (ม.ค. – มิ.ย.) ไทยใช้ก๊าซ LNG ผลิตไฟฟ้าในสัดส่วนเกือบ 30% ของกำลังการผลิตไฟฟ้า เทียบจากปี 2563 ที่ใช้ก๊าซ LNG ผลิตไฟฟ้าอยู่ที่ประมาณ 18% ซึ่ง LNG ที่ประเทศไทยนำเข้าในปีนี้ เป็นลักษณะสัญญาระยะสั้น Spot LNG ราว 50% ที่มีราคาแพงมาก จึงเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ต้นทุนค่าเชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้าปรับสูงขึ้นจากอดีต
ขณะที่การนำเข้าแบบสัญญาระยะยาวเองทางผู้ขายก็มักจะไม่ทำสัญญาในระยะหลังเพราะการขายตลาดจรได้ราคาสูงกว่า ซึ่งราคา LNG คิดเป็นต้นทุนการผลิตไฟราว 10 บาทต่อหน่วย ขณะที่ก๊าซอ่าวไทยอยู่ที่เพียง 2-3 บาทต่อหน่วย และน้ำมัน 6 บาทต่อหน่วย
ปัจจุบันค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ หรือค่าเอฟที (Ft) เดือน ก.ย. – ธ.ค. 65 ได้ปรับขึ้น 68.66 สตางค์ต่อหน่วย จึงทำให้ค่าไฟเฉลี่ยอยู่ที่ 4.72 บาทต่อหน่วย ซึ่งดูจากสถานการณ์ล่าสุด ราคาพลังงานจะยังคงมีทิศทางผันผวนและปรับตัวสูงขึ้น หลังจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้แบกรับภาระค่าเชื้อเพลิงแทนประชาชนช่วงที่ผ่านมากว่า 1 แสนล้านบาท
นายคมกฤชยังกล่าวอีกว่า ในช่วงวิกฤตราคาพลังงานแพง กกพ.ได้มีการปรับตัวรูปแบบการบริหาร ทั้งระยะสั้น อย่างการพิจารณาใช้เชื้อเพลิงอื่นในการผลิตไฟฟ้า เช่นน้ำมันเตาหรือดีเซล, ระยะกลาง โดยจะรับซื้อพลังงานหมุนเวียน (RE) ตามสัญญาใหม่ และระยะยาว โดยทบทวนแผนพลังงานให้เหมาะสมกับเชื้อเพลิง เป็นต้น
