ข่าวข่าวการเมืองเศรษฐกิจ

สภาพัฒน์ เผย GDP ไตรมาสที่ 1 ปี 2565 เพิ่ม 2.2%

สภาพัฒน์ฯ รายงานต่อ ครม. ว่า GDP ไตรมาสที่ 1 ปี 2565 เพิ่มขึ้น 2.2% ขณะที่แนวโน้มของเศรษฐกิจประจำปี 2565 โตขึ้นมาอีก 2.5-3.5%

นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2565 ว่า ครม. รับทราบการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจไตรมาสแรกและแนวโน้มของปี 2565 ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ กล่าวคือ ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ไตรมาสที่ 1 ปี 2565 เพิ่มขึ้น 2.2% จำแนกเป็น

Advertisements

  • การบริโภคภาคเอกชนเพิ่มขึ้น 3.9%
  • การลงทุนรวมเพิ่มขึ้น 0.8%
  • การอุปโภคภาครัฐบาลเพิ่มขึ้น 4.6%
  • ปริมาณการส่งออกสินค้าเพิ่มขึ้น 10.2% (มูลค่าการส่งออก USD เพิ่ม 14.6%)
  • ปริมาณการส่งออกบริการเพิ่มขึ้น 30.7%
  • สาขาเกษตรเพิ่มขึ้น 4.1%
  • สาขาอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น 1.9%
  • สาขาการค้าเพิ่มขึ้น 2.9%
  • สาขาที่พักแรมและบริการด้านอาหารเพิ่มขึ้น 34.1%
  • สาขาขนส่งเพิ่มขึ้น 4.6%
  • สาขาไฟฟ้าและก๊าซฯ เพิ่มขึ้น 0.2%
  • สาขาก่อสร้างภาคเอกชนลดลง 5.5%

ประมาณการตัวเลขแนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2565 ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) เติบโตอยู่ที่ 2.5-3.5% ซึ่งใกล้เคียงกับประมาณการเศรษฐกิจโลกที่ขยายตัว 3.5% ส่วนแนวโน้มการเติบโตเศรษฐกิจไทยสาขาอื่น อาทิ การบริโภคภาคเอกชน 3.9% การลงทุนภาคเอกชน 3.5% การลงทุนภาครัฐ 3.4% มูลค่าการส่งออก (รูปเงิน USD) 7.3% และเงินเฟ้อ 4.2 – 5.2% สำหรับปัจจัยสนุบสนุนปี 2565 อาทิ

1. การผ่อนคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 ต่อเนื่อง ควบคู่กับความคืบหน้าการกระจายวัคซีน

2. ฐานรายได้ของครัวเรือนและภาคธุรกิจขยายตัวตามภาคการผลิตอุตสาหกรรมและภาคการส่งออก

3. การผ่อนปรนมาตรการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยยกเลิกมาตรการ Test&Go

Advertisements

ส่วนข้อจำกัดและปัจจัยเสี่ยงในปี 2565 อาทิ

1. ภาระหนี้สินภาคเอกชนที่อยู่ในระดับสูงและจะเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวของอุปสงค์ภายในประเทศ รวมถึงตลาดแรงงานยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่

2. เชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่อาจนำไปสู่การแพร่ระบาดระลอกใหม่อีกครั้ง

3. ความยืดเยื้อของสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนและมาตรการคว่ำบาตร

4. แนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน

นอกจากนี้ รัฐบาลมีแนวทางบริหารจัดการเศรษฐกิจปี 2565 ดังนี้

1.การรักษาแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจจากการใช้จ่ายของภาคครัวเรือน เช่น

  • การติดตาม เฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมการระบาดของโรคโควิตเพื่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจของภาคครัวเรือนและธุรกิจสามารถปรับตัวเข้าสู่ภาวะปกติได้อย่างต่อเนื่อง
  • การดูแลและแก้ไขปัญหาหนี้สินของครัวเรือนเพื่อไม่ให้เป็นข้อจำกัดต่อการขยายตัว

2.การสนับสนุนการฟื้นฟูของการท่องเที่ยวและบริการเกี่ยวเนื่อง เช่น

  • การส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศ โดยคำนึงถึงการกระจายผลประโยชน์ไปยังพื้นที่เมืองรอง รวมทั้งกิจการขนาดกลางและขนาดย่อม
  • การรณรงค์ให้นักท่องเที่ยวชาวไทยเดินทางท่องเที่ยวในประเทศมากขึ้น

3.การรักษาแรงขับเคลื่อนจากการส่งออกสินค้า

4.การส่งเสริมการลงทุนภาคเอกชน เช่น

  • การเร่งรัดให้ผู้ประกอบการที่ได้รับอนุมัติและออกบัตรส่งเสริมการลงทุนในช่วงปี 2562-2564 ให้เกิดการลงทุนจริงโดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการลงทุนที่อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย
  • การแก้ไขปัญหาที่นักลงทุนและผู้ประกอบการต่างชาติเห็นว่าเป็นอุปสรรคต่อการลงทุนและประกอบการและการประกอบธุรกิจ รวมทั้งปัญหาการขาดแคลนแรงงานในภาคการผลิต
  • การส่งเสริมการลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษต่างๆ ที่ได้ดำเนินการไปแล้ว รวมถึงขับเคลื่อนพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษในแต่ละภูมิภาค

5.การขับเคลื่อนการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐ เช่น เร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2565 ให้ได้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 92.5 ของกรอบงบประมาณทั้งหมด และงบลงทุนรัฐวิสาหกิจให้ได้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 70 ของงบประมาณทั้งหมด รวมทั้งการเบิกจ่ายโครงการตามพระราชกำหนดฯ เงินกู้วงเงิน 1 ล้านล้านบาท และ 5 แสนล้านบาทในส่วนที่เหลือ

6.การดูแลการผลิตภาคเกษตรและรายได้เกษตรกร

7.การติดตาม เฝ้าระวัง และเตรียมมาตรการรองรับความผันผวนของเศรษฐกิจและการเงินโลก

 

แหล่งที่มาของข่าว : รัฐบาลไทย

สามารถติดตามข่าวเศรษฐกิจเพิ่มเติมได้ที่นี่ : ข่าวเศรษฐกิจ

 

 

N. Siripariyasak

นักเขียนคอนเทนต์ จับประเด็นด้านเศรษฐกิจ-การเงิน, เทคโนโลยี, ไอที และเกมส์ อัปเดตข่าวทั้งจากในประเทศไทย และต่างประเทศ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ใส่ความเห็น

Back to top button