ช็อก! ‘หมอธีระ’ เผย อันดับยอดผู้ป่วยโควิด เมื่อวาน ไทยอยู่อันดับ 7
หมอธีระ เปิดเผยว่า อันดับยอดผู้ป่วยโควิด ประจำวันที่ 14 เม.ย. ไทยอยู่อันดับที่ 7 ย้ำต้องฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น ป้องกันป่วยหนักและเสียชีวิต
รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ (หมอธีระ) คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก รายงานความคืบหน้าของสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 พร้อมเปิดเผยว่าหากนับ ยอดผู้ป่วยโควิดใหม่ในไทย เป็นอันดับ 7 ของโลก
โดยข้อความเฟซบุ๊กระบุว่า “เมื่อวานนี้จำนวนติดเชื้อใหม่ รวม ATK สูงเป็นอันดับ 7 ของโลก และอันดับ 3 ของเอเชีย ในขณะที่จำนวนเสียชีวิตเมื่อวาน สูงเป็นอันดับ 11 ของโลก
ทั้งนี้จำนวนคนเสียชีวิตของไทยเมื่อวานนั้นคิดเป็น 15.41% ของการเสียชีวิตทั้งหมดที่รายงานของทวีปเอเชีย
…การใช้ชีวิตและทำมาหากินที่ไม่ปลอดภัย จะเป็นภัยคุกคามต่อสวัสดิภาพทุกคนในสังคม การใช้ชีวิต และทำมาหากิน โดยมีพฤติกรรมส่วนบุคคลที่ไม่ป้องกันตัว ทำกิจกรรมเสี่ยง ไปในสถานที่เสี่ยง ทั้งๆ ที่สังคมยังเผชิญกับการระบาดรุนแรงดังที่เป็นในปัจจุบัน ไม่ได้ส่งผลต่อตนเองเท่านั้น แต่จะเป็นภัยคุกคามต่อสวัสดิภาพของทุกคนในสังคม ทั้งสมาชิกในบ้าน คนบ้านใกล้เรือนเคียง คนในที่ทำงาน รวมถึงคนอื่นในสังคมที่ต้องพบปะกับคนที่มีพฤติกรรมเสี่ยงนั้น
เหตุการณ์ในจังหวัดต่างๆ ทั้งเชียงใหม่ ภูเก็ต และกรุงเทพมหานคร อาทิ ถนนข้าวสาร รวมถึงสถานบันเทิงย่านรามอินทรา ที่เป็นข่าวใหญ่ในสื่อมวลชนช่วงเทศกาลสงกรานต์นั้น ชี้ให้เห็นความเสี่ยงต่อการระบาดปะทุหนักขึ้นได้ เพราะมีเรื่องไม่ใส่หน้ากาก แออัด คลุกคลีใกล้ชิด อยู่กันในที่ระบายอากาศไม่ดี ระยะเวลาที่อยู่กันนาน แชร์ของร่วมกัน รวมถึงการเล่นน้ำสาดน้ำหรือใช้ปืนฉีดน้ำเล่นกัน
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจำเป็นต้องตระหนักถึง”บทบาทหน้าที่”ของตนเองในการปกป้องสวัสดิภาพและความปลอดภัยในชีวิตของประชาชน และยามที่เกิดการระบาดปะทุรุนแรงขึ้น จนนำมาสู่ความสูญเสียชีวิต และส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังสังคมและเศรษฐกิจ คงจะไม่เป็นธรรมหากจะบอกให้ทุกคนทุกภาคส่วนในสังคมต้องมารับผิดชอบร่วมกัน เพราะความสูญเสียนั้นเกิดจากน้ำมือกลุ่มคนและกลุ่มธุรกิจส่วนน้อยที่ฝ่าฝืน ไม่รับผิดชอบ และหน่วยงานรัฐที่มีกฎหมายในมือแต่ไม่สามารถจัดการปราบปรามหรือป้องกันได้
สำนึก และความรับผิดชอบ เป็นสิ่งที่ทุกคนทุกภาคส่วนจำเป็นต้องมี เพื่อประคับประคองให้เราอยู่รอดปลอดภัยจากโรคระบาด ใช้ชีวิตได้ ทำมาหากินได้ แต่ควรเป็นไปในแนวทางที่ปลอดภัย ไม่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนต่อสังคม
เป็นที่ชัดเจนว่า การฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น (เข็มที่ 3) นั้นมีความจำเป็น เพื่อที่จะมีประสิทธิภาพในการป้องกันการป่วยรุนแรงจนต้องนอนโรงพยาบาล และการเสียชีวิต ในขณะที่การฉีดวัคซีนเพียง 2 เข็มนั้น จะได้ผลในการป้องกันช่วงแรก แต่ประสิทธิภาพจะลดลงเมื่อเวลาผ่านไป
ทั้งนี้ในกลุ่มคนที่มีแข็งแรงดีนั้น ผลในการป้องกันยาวนานกว่า 4-6 เดือนหลังฉีดเข็มกระตุ้น ส่วนผลของวัคซีนในการป้องกันการติดเชื้อนั้น ดูจะหวังได้น้อย ข้อมูลข้างต้นเน้นย้ำให้เราเห็นถึง 2 เรื่องสำคัญคือ
หนึ่ง การฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นนั้นมีความจำเป็น เพื่อหวังผลในการลดโอกาสป่วยรุนแรงและเสียชีวิต
และสอง แม้ฉีดวัคซีนแล้ว ก็อาจติดเชื้อได้ และยังมีโอกาสป่วยได้ ตายได้ ดังนั้นการป้องกันตัวอย่างสม่ำเสมอ เป็นสิ่งที่ต้องทำเป็นกิจวัตร
…การใส่หน้ากากเสมอ เป็นหัวใจสำคัญ และเป็นปราการด่านสุดท้ายที่จะป้องกันตัวคุณและคนที่คุณรัก…”