ข่าวข่าวภูมิภาค

ดราม่าร้อน #ไฟเซอร์นักเรียน หลังนักเรียนมัธยมไม่ยอมฉีดไฟเซอร์

#ไฟเซอร์นักเรียน กลายเป็นเทรนด์ทวิตเตอร์ หลังจากที่มีนักเรียนออกมาปฏิเสธการรับเข้าฉีดวัคซีนไฟเซอร์ รวมถึงประเด็นที่โรงเรียนในสกลนคร ออกมาขอให้นักเรียนถอนตัว

กลายเป็นประเด็นร้อนอีกครั้ง จากที่มีการเปิดเผยเรื่องราวต่างๆผ่าน #ไฟเซอร์นักเรียน หลังจากที่ทางรัฐบาลเริ่มฉีดวัคซีนยี่ห้อไฟเซอร์ให้กับกลุ่มนักเรียนในช่วง 12-18 ปี ตั้งแต่ประเด็นครูขอให้ถอนตัว เนื่องจากวัคซีนจัดสรรไม่พอ รวมถึงการสร้างกระแสข่าวปลอมต่อต้านการฉีดวัคซีนโควิด

Advertisements

โดยมีผู้ใช้ทวิตเตอร์รายหนึ่งได้นำข้อความจากแชตที่อ้างว่ามาจาก โรงเรียนแห่งหนึ่งใน จ.สกลนคร ที่ ครูได้เข้ามาสอบถามนักเรียนว่า มีใครที่ลงทะเบียนเอาไว้แล้วอยากถอนตัวไหม เพราะวัคซีนที่จัดสรรมาให้ไม่เพียงพอ แต่กลายเป็นว่า นักเรียนยืนยันว่าไม่มีใครถอนตัว โดยชาวเน็ตมองว่าเรื่องนี้เป็นความรับผิดชอบของโรงเรียนและสาธารณสุขที่ต้องจัดสรรวัคซีนให้เพียงพอต่อจำนวนนักเรียน ไม่ใช่มาขอให้นักเรียนต้องถอนตัว

นอกจากนี้ บางคนก็ได้ร้องเรียนว่า ตนเองอยู่ชั้น ม.ต้น และได้รับการนัดหมายจากทางโรงเรียนเพื่อให้ฉีดวัคซีนไฟเซอร์ในช่วงกลางเดือนนี้ แต่นักเรียน ม.ต้น จำเป็นต้องหลีกให้นักเรียน ม.ปลายฉีดก่อน เพราะว่าวัคซีนที่จัดสรรมาให้นั้นมีไม่เพียงพอ

ในอีกประเด็นร้อนที่อยู่ในแฮชแท็คเดียวกันคือ การปฏิเสธที่จะรับวัคซีนโควิด หลังจากที่มีกระแสบนแอพฯ TikTok ที่มีการเผยแพร่ข่าวปลอม เช่น เรื่องผลข้างเคียงของวัคซีน บางคนก่อนไปฉีดวัคซีนก็ดื่มแอลกอฮอล์ไปก่อน และสร้างความหวาดกลัวให้กับนักเรียนที่มีโรคประจำตัว รวมถึงบางคนที่ไม่อยากฉีดตามเพื่อน พร้อมมีการกล่าวอ้างสิทธิ์ส่วนบุคคลอีกด้วย

ทั้งนี้ชาวเน็ตได้ออกมาตำหนิและวิพากษ์วิจารณ์กระแสดังกล่าว พร้อมยกงานวิจัยยิ่งฉีดได้เร็วเท่าไร โรงเรียนก็จะเปิดได้ไวมากขึ้นเท่านั้น ในขณะที่นักศึกษามหาวิทยาลัยยังว่าพวกตนได้ฉีดวัคซีนไขว้ แต่นักเรียนได้ฉีดวัคซีนไฟเซอร์ ซึ่งเป็นวัคซีนที่มีประสิทธิภาพสูง กลับไม่อยากฉีด

Advertisements

 

Nateetorn S.

ผู้สื่อข่าว ทำงานกับ Thaiger มาตั้งแต่ปี 2020 จบการศึกษาจากคณะวารสารศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสคร์ เคยทำงานกับสถานีโทรทัศน์อันดับ 1 ของประเทศ ทำให้มประสบการณ์ความเชี่ยวชาญ เจาะประเด็นข่าวการเมืองอาชญากรรม ข่าวแปลกๆ เรื่องน่าสนใจจากต่างประเทศ ช่องทางติดต่อ tee@thethaiger.com

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ใส่ความเห็น

Back to top button