เปิดคำพิพากษา ‘ไอซ์ รักชนก’ ฉบับเต็ม ชี้พฤติการณ์ผิดวิสัยชาวไทย
เปิดคำพิพากษา ไอซ์ รักชนก ศรีนอก ฉบับเต็ม หลังศาลสั่งจำคุก 6 ปี ชี้พฤติการณ์ผิดวิสัยชาวไทย ไม่ขวนขวายในการแสดงหลักฐานเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ของตน
จากกรณีที่ ศาลอาญา รัชดา นั่งบัลลังห์ พิพากษาจำคุก ไอซ์ รักชนก ศรีนอก ส.ส.กทม. พรรคก้าวไกล (ก.ก.) เป็นระยะเวลา 6 ปี โดยไม่รอลงอาญา ตามความผิดประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และข้อหาตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ขณะนี้อยู่ในระหว่างการยื่นประกันตัว ตามที่มีรายงานไปก่อนหน้านี้นั้น
ล่าสุดได้มีการเปิดคำพิพากษาฉบับเต็มในคดีดังกล่าว โดยมีใจความว่า คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยว่า จำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่าโจทก์ก็มีนาง ม. เป็นพยานเบิกความว่า พยานเป็นสมาชิกแอปพลิเคชันไลน์แบบกลุ่ม ได้รับภาพที่ส่งเข้ามาในกลุ่มไลน์ ซึ่งจำเลยเป็นผู้ทวีตภาพและข้อความ และรีทวีต ซึ่งพยานเห็นว่า การทวีตของจำเลยเป็นการใส่ร้ายพระมหากษัตริย์ รัชกาลที่ 10 ส่วนการรีทวีตของจำเลยมีการระบุชื่อของรัชกาลที่ 10 และมีเนื้อหาที่เป็นการเหยียดหยาม ดูหมิ่น อาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ เนื่องจากมีรูปโปรไฟล์และชื่อของจำเลยเป็นผู้โพสต์ข้อความ พยานจึงนำภาพและข้อความดังกล่าวไปแจ้งความกล่าวโทษให้ดำเนินคดีกับจำเลยที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) และยังมีพันตำรวจโท ภ. เป็นพยานเบิกความว่า พยานได้รับการประสานให้เป็นผู้ตรวจสอบบัญชี ทวิตเตอร์ของจำเลยและบัญชีที่เกี่ยวข้องกับการรีทวีต แล้วผลการตรวจสอบบัญชีทวิตเตอร์ของจำเลยมีความเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง โดยมีการโพสต์ภาพของบุคคลและมีการเชื่อมโยงกับบัญชีเฟซบุ๊ก ชื่อ RUKCHANOK SRINORK และมีอินสตาแกรมโดยมีชื่อผู้ใช้บัญชี USER NAME เช่นเดียวกัน
จำเลยให้การต่อสู้ประการหนึ่งว่า ภาพและข้อความตามฟ้องเป็นการใส่ร้ายตนจากบุคคลที่เห็นต่างทางการเมือง หากตนโพสต์ภาพและข้อความตามฟ้องซึ่งมีเนื้อหาค่อนข้างร้ายแรงแล้ว ย่อมต้องถูกดำเนินคดีอย่างแน่นอน เพราะมีบุคคลที่จ้องจะเล่นงานตนอยู่แล้ว ตนจึงไม่มีทางที่จะโพสต์ภาพและข้อความตามฟ้อง และตนมีความศรัทธาในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข แต่กลับได้ความจากพยานโจทก์ ปากนาง ม. ซึ่งไม่เคยรู้จักกับจำเลยเป็นการส่วนตัว หรือมีสาเหตุบาดหมางกับจำเลยมาก่อน ทั้งเมื่อไม่ปรากฏว่า นาง ม. เป็นนักการเมือง หรือมีส่วนได้เสียทางการเมือง การที่นาง ม.นำภาพและข้อความตามฟ้อง มาแจ้งความกล่าวหาให้ดำเนินคดีกับผู้ที่โพสต์ นับว่าเป็นการทำหน้าที่ของปวงชนชาวไทย ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 50 (1) จึงเชื่อว่า นาง ม. แจ้งความและเบิกความไปตามสิ่งที่ตนพบเห็น โดยไม่มีเจตนากลั่นแกล้งจำเลยแต่อย่างใด
หากจำเลยมีความศรัทธาในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขแล้ว ย่อมไม่อาจมีการโพสต์ข้อความใด ๆ ในทางลบให้นาง ม. หรือประชาชนทั่วไปได้พบเห็น ข้ออ้างของจำเลยในส่วนนี้ จึงไม่น่าเชื่อถือ ประกอบกับในชั้นสอบสวน จำเลยให้การปฏิเสธ โดยไม่ได้ให้การในรายละเอียดแต่ประการใด ซึ่งจำเลยให้การเพียงว่า “ขอไม่ให้การ” และเมื่อพนักงานสอบสวนถามถึงโทรศัพท์เคลื่อนที่ของจำเลย จำเลยก็ให้การว่า “ไม่ได้เอามา” โดยจำเลยมิได้ให้การโต้แย้งว่าเป็นภาพตัดต่อหรือโต้แย้งว่าตนถูกใส่ร้ายทางการเมือง รวมทั้งมิได้ขวนขวายที่จะขอส่งมอบโทรศัพท์เคลื่อนที่ของตนให้พนักงานสอบสวนทำการตรวจสอบข้อมูล ทั้งที่เป็นการไม่ยากที่จะกลับไปเอาหรือส่งมอบให้
ภายหลังในระยะเวลาอันสมควร ทั้งที่จำเลยถูกแจ้งข้อหาในความผิดร้ายแรงที่กระทำต่อพระมหากษัตริย์โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากมีการตัดต่อนำภาพโปรไฟล์ของจำเลยมาโพสต์เพื่อใส่ร้ายจำเลยจริงแล้ว เชื่อว่าจำเลยย่อมต้องให้การโต้แย้งต่อพนักงานสอบสวนว่ามีการตัดต่อภาพเพื่อใส่ร้ายตน พฤติกรรมของจำเลยที่ไม่ขอตอบข้อซักถามของพนักงานสอบสวน และไม่ขวนขวายในการแสดงหลักฐานเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ของตน จึงเป็นการผิดวิสัยของประชาชนคนไทยทั่วไปที่สืบสานวัฒนธรรมและทัศนคติในการเคารพองค์พระมหากษัตริย์มาอย่างยาวนานหลายชั่วอายุคน ซึ่งการจะมีหลักฐานทางระบบคอมพิวเตอร์หลงเหลืออยู่หรือไม่ ต้องพิจารณาพฤติกรรมของจำเลยในการให้ความร่วมมือและการเสนอพยานหลักฐานเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจด้วย และไม่มีเหตุใดให้เชื่อว่าพนักงานสอบสวน นาง ม. ผู้กล่าวหา จะร่วมกันคิดสร้างหรือกำหนดจัดแต่ง URL รวม 4 URL ขึ้นมาเองเพื่อเอาผิดจำเลย ซึ่งแต่ละ URL จะมีรายละเอียดแตกต่างกัน จำเลยเองกลับมิได้ให้การทักท้วงหรือปฏิเสธถึงความมีอยู่หรือความถูกต้องของ URL ดังกล่าวในชั้นสอบสวน ซึ่งเป็นระยะเวลาใกล้ชิดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อันเป็นระยะเวลาที่เชื่อว่าจำเลยไม่อาจคิดหาหนทางบิดเบือนข้อเท็จจริงได้ดังเช่นข้อต่อสู้ในชั้นพิจารณา ซึ่งเป็นระยะเวลาห่างจากที่จำเลยให้การในชั้นสอบสวนประมาณ 1 ปี 6 เดือน
ข้อต่อสู้ของจำเลยในชั้นพิจารณาจึงมีน้ำหนักน้อย พยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบมาประกอบกับพฤติกรรมของจำเลยซึ่งไม่นำพาหรือขวนขวายที่จะให้การหรือแสดงหลักฐานใดเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ของตนในชั้นสอบสวนอันเป็นการผิดวิสัยของบุคคลทั่วไปในฐานะปวงชนชาวไทยซึ่งต้องเคารพและไม่ละเมิดต่อองค์พระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกฉบับ เชื่อว่าจำเลยได้โพสต์หรือทวีตและรีทวีตภาพและข้อความลงในระบบคอมพิวเตอร์ตามฟ้องภาพและข้อความตามฟ้องนับว่ามีเนื้อหาซึ่งเป็นการกล่าวร้าย และอาฆาตมาดร้ายต่อพระชนม์ชีพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 และราชวงศ์จักรี ซึ่งย่อมหมายถึงพระราชินีด้วย จำเลยจึงมีความผิดต่างกรรมต่างวาระ
พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา 14 (2) การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น แสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินีฯ และ ฐานนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อความมั่นคงของประเทศ เป็นกรรมเดียวผิด กฎหมายหลายบท ให้ลงโทษบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น แสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินีฯ จำคุกกระทงละ 3 ปี รวมสองกระทง คงจำคุก 6 ปี
‘ชัยธวัช’ ไม่กังวล หลังศาลพิพากษาจำคุก ‘ไอซ์ รักชนก’ รู้ผลประกันตัวบ่ายนี้