‘ทนายอนันต์ชัย’ เตือน ‘ทนายตั้ม’ พาดพิง ‘ชูวิทย์’ อีก โดนเรียกเงิน 100 ล้าน
![](https://thethaiger.com/th/wp-content/uploads/2023/03/อนันตชัย-ชูวิทย์.jpg)
ทนายอนันต์ชัย เตือน ทนายตั้ม ให้สัมภาษณ์พาดพิง ชูวิทย์ อีก โดนเรียกเงิน 100 ล้านบาทต่อครั้ง เผยหลังจากนี้จะไม่ให้สัมภาษณ์เรื่อง ทนายตั้ม แล้ว
นาย ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมือง และ นาย อนันต์ชัย ไชยเดช ทนายความ ให้สัมภาษณ์กรณีพิพาทกับ ทนายตั้ม หรือ ษิทรา เบี้ยบังเกิด หลังจากที่ฝั่งทนายตั้มออกมากล่าวหาว่านาย ชูวิทย์ แฉไปไถไป และรับเงินจากสารวัตรซัวและนำไปสู่การโต้ตอบของทั้งสองฝ่ายในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา
ทนายอนันต์ชัย ให้สัมภาษณ์ว่า ตนไปทำบุญมา จึงขอเอาบุญมาฝากแต่ไม่มีการสาปแช่ง ซึ่งการสาปแช่งเป็นอวิชชา การเข้าวัดต้องมีจิตเมตตา วันนี้ขอพูดข้อกฏหมายในประมวลกฎหมายอาญามาตรา 326, 328, พ.ร.บ.ทนายความ พ.ศ. 2528 ข้อบังคับทนายความ พ.ศ. 2529 และ พ.ร.บ.ฟอกเงินฯ ข้อกฎหมายเหล่านี้ทีมงานได้รวบรวมเพื่อให้ประชาชนทราบข้อกฎหมายที่เเท้จริงเเละเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ หลังจากนี้ นายชูวิทย์ก็จะไม่ให้สัมภาษณ์เรื่องนี้เเล้ว ไม่ใช่นายชูวิทย์กลัวนะ เเต่ตนในฐานะทนายความเเนะนำไว้ เพราะหากนายษิทรา ให้สัมภาษณ์พาดพิงนายชูวิทย์อีกจะโดนดำเนินคดีอาญาเเละเเพ่ง เรียกเงิน 100 ล้านบาทต่อครั้ง
ประเด็นการเรียกเงินค่าเเถลงข่าว 3 เเสนบาทนั้น ตนมองว่า ถ้าการแถลงข่าวเป็นประโยชน์เเละเป็นความจริง แล้วลูกความได้รับความเป็นธรรมในแง่มุมของตนเองไม่ผิด เเต่การที่อ้างว่าเป็นทนายเพื่อประชาชน เเต่ไปเรียกเงินประชาชนมันก็ไม่ถูก เรื่องนี้ต้องดูเป็นกรณีไป เรื่องนี้ตนไม่นำมาโจมตีกัน ทนายษิทรากับตนไม่ได้มีสาเหตุโกรธเคืองเจอก็คุยกัน เพียงแต่ตนเป็นทนายความของนายชูวิทย์ อยากฝากบอกถึงนายษิทราว่ากระบวนการที่เราทำงานคือว่าความกันบนศาล ไม่ใช่บนโซเชียล ที่ให้ลูกความไม่ต้องพูดไม่ใช่เพราะกลัว แต่ตามไสตล์ของตนคือให้สัมภาษณ์ทีเดียวเเละไม่พูดอีก ไปเจอกันในศาลทีเดียว ไม่ใช่พูดรายวัน
ส่วนเรื่องถุงเงินหรือการรับเงินที่นายษิทรา ระบุ ต้องอย่าลืมว่า คดีอาญานั้นใช้ประจักษ์พยานเป็นหลัก ไม่ใช่ดูพยานแวดล้อมหรือพยานบอกเล่า สิ่งที่นายษิทราพูดคือพยานบอกเล่า พูดเเต่ว่า “เขาว่า เขาว่า” ซึ่งต้องฟังด้วยความระมัดระวัง คดีนี้นายษิทราก็ไม่มีส่วนได้เสีย อยากให้คิดตามว่าหากเจอกันในศาลจะโดนซักค้านอย่างไร สิ่งเหล่านี้ใช้เป็นพยานหลักฐานได้หรือไม่ อยากฝากบอกนายษิทราว่าถ้าไม่ใช่ผู้เสียหาย เเล้วเป็นเพียงพยานบอกเล่าต่อไปนี้ หากหยิบยกเอกสารอะไรขึ้นมาพูดอีกนายชูวิทย์ จะฟ้องครั้งละ 100 ล้านบาท ตนไม่อยากให้วิชาชีพทนายความเสียหาย เพราะทนายความต้องว่าความในศาล ไม่ใช่โซเชียลฯ
ตนทราบว่า ตอนนี้มีการร้องมรรยาททนายความเกี่ยวกับนายษิทราจำนวนหลายคดี ที่เป็นปัญหาอยู่ คือ คดีของอดีตรองนายกฯ ซึ่งคดีนี้ตนเสียใจมากเพราะเป็นเรื่องส่วนตัวไม่ใช่เรื่องส่วนรวม ไม่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ ที่นายษิทราพูดประโยคหนึ่งในครั้งนั้นว่านายชูวิทย์โทรไปหานายษิทราเเละขอร้อง ตนถามนายชูวิทย์เเล้วทราบว่าเป็นการโทรไปเพียงเเต่บอกให้นายษิทราดูให้ดี เพราะข้อเท็จจริงของผู้หญิงที่เกี่ยวข้องไม่ใช่แบบที่เป็นข่าว
กรณีการรับเงิน 6 ล้าน หรือ 10 ล้าน หรือกระทั่ง 50 ล้าน ที่ถูกระบุว่าเป็นเงินดิจิทัล เเล้วมีการให้สัมภาษณ์นั้น นายชูวิทย์ ถามตนว่า การกระทำของนายษิทราถูกต้องหรือไม่ ไม่สามารถตอบได้ แต่มาตรฐานตน คือ จะไม่วิจารณ์คดีใคร ไม่ก้าวก่ายงานใคร เเละไม่เอาเรื่องส่วนตัวมาเปิดเผยสาธารณะ เเละถ้าไม่ใช่ลูกความก็จะไม่แถลงข่าว เพราะเป็นการผิดมรรยาททนายความเเต่วันนี้ตนขอเเถลง 3 ประเด็น
1. เรื่องความผิดฐานหมิ่นประมาท ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 326, 328 ซึ่งเป็นเหตุการณ์ช่วงนายชูวิทย์ตีแผ่เปิดโปง ทุจริตคอร์รัปชัน เเล้วมีบุคคลมาเเถลงข่าวโดยที่ไม่มีส่วนได้เสียเเละไม่ใช่ประจักษ์พยาน ในศาลถ้าไม่ใช่ประจักษ์พยานเป็นพยานบอกเล่าศาลจะไม่รับฟัง ยกเว้นพยานหลักฐานเเวดล้อมใกล้เคียงสอดคล้องกัน เเต่การไปกล่าวหานายชูวิทย์เเละลูกชายไปรับเงิน ซึ่งเป็นเรื่องส่วนตัวยิ่งจริงยิ่งผิด
อย่างเรื่องถุงที่ถ่ายถุง เพราะได้เอาไว้เเบล็คเมล์ ซึ่งเป็นการเริ่มจัดฉากว่าหากวันหนึ่งนายชูวิทย์ไม่ยอมจะถูกเปิดเผยขึ้นมา เเต่การรับเงิน 6 ล้านหรือ 10 ล้านมีพยานหลักฐานหรือไม่ เรียกว่ามันไม่มีเเต่ภาพถ่ายถุงเงินก่อน ซึ่งเงินอาจจะถูกเอาไประหว่างทางได้ ในการซักพยานหากพูดมาเเบบนี้ ตนซักค้านพยานหลักฐานตายเลย การพิสูจน์ความจริงต้องพิสูจน์ในศาล
2. เรื่องมรรยาททนายความ การที่นายษิทราเป็นบุคคลผู้มีวิชาชีพทนายความ หากมีการแถลงข้อเท็จจริงที่คลาดเคลื่อน ข้อบังคับของสภาทนายความที่ระบุว่าการกระทำอันเป็นการยุยงส่งเสริมให้มีการฟ้องร้องกันอันเป็นการหามูลไม่ได้มีโทษสูงสุดต้องลบชื่อออกจากทะเบียนทนายความ เเละต่อไปนายชูวิทย์ก็จะต้องไปร้องสภาทนายความ เพราะเรารู้สึกว่าการกระทำเเบบนี้ไม่ถูกต้อง การกระทำดังกล่าวน่าจะผิดมรรยาท
3. เรื่องสุดท้ายอยากฝากเรียนโฆษกสำนักงานตำรวจเเห่งชาติและ ปปง.ที่ออกมาระบุว่าสุ่มเสี่ยงฟอกเงินอยากบอกว่า นายชูวิทย์ไม่เหมือนมังกรฟ้า ที่ครั้งนั้นตนเป็นทนายความให้เเละให้สัมภาษณ์ว่าจะฟ้องกลับตั้งเเต่ตำรวจไปยันรัฐมนตรีดิจิตัล รวม14 คนเเต่ลูกความไม่ต้องการฟ้อง ทำให้ตนเสียหน้า เเต่สำหรับนายชูวิทย์ ไม่ใช่ ซึ่งที่จริงควรจะพูดว่าต้องรวบรวมพยานหลักฐานก่อนไม่ใช่สุ่มเสี่ยง คุณเป็นตำรวจอย่ามาเล่นกับตน นายชูวิทย์เอาจริง เเละคุณจะเดือดร้อน
ส่วนเรื่อง พ.ร.บ.ปราบปรามการฟอกเงินฯ ที่มีโทษอาญานั้นจะต้องมีการกระทำโดยมีเจตนาโดยรู้ว่าเงินหรือทรัพย์สินได้มาจากการกระทำผิดมูลฐาน เเละต้องรับโอนซุกซ่อนปกปิดเเหล่งที่มา หรือทราบว่าเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำผิด ตามมาตรา 5 เเต่ข้อเท็จจริงคดีนี้นายชูวิทย์ไม่รู้ เเละไม่มีเหตุอันควรจะรู้ เพราะทรัพย์สินที่ได้มาเป็นเงินที่ได้จากการพนันเเละกระทำผิดตามกฎหมายหรือไม่ เเต่นายชูวิทย์ไม่รู้เเละเอาไปทำบุญ ส่วนที่ระบุว่าทำไมไม่บอกกับโรงพยาบาลว่าเป็นเงินสารวัตรซัว
ตรงนี้จะไปบอกได้อย่างไรเพราะเป็นเรื่องภายในที่ว่าไม่ฟ้องนาย ไม่ขายเพื่อนธุรกิจเป็นเเบบนี้ตนเป็นคนสีขาว นายชูวิทย์คนสีเทาเข้าใจดีมากกว่าตน เเต่สิ่งที่บอกมาคือนายชูวิทย์ขาดเจตนา เเต่ตรงข้ามคือนายษิทราที่ระบุว่าจะไปเเจ้งดำเนินคดี รวมทั้งไปยัง ปปง.ซึ่งเเสดงว่านายษิทรายอมรับว่าเงินดังกล่าวเป็นทรัพย์สินที่มาจากการกระทำความผิด เเละบุคคลที่ส่งเงิน นั้นครบองค์ประกอบการกระทำความผิด ที่วันนี้มีข่าวว่านายอัจฉริยะไปเเจ้งความดำเนินคดีถือว่าถูกต้อง ดังัน้นนายษิทราควรจะไปดำเนินคดีคนเอาเงินมาให้
ด้าน นายชูวิทย์ เปิดเผยว่า การใช้สื่อเป็นเครื่องมือ เมื่อมีอาชีพทนายก็ต้องใช้กฎหมาย ตนไม่คิดว่าทนายความจะคิดเงินค่าแถลงข่าว ดังนั้น สภาทนายความหรือสื่อมวลชนควรจะพิจารณา
อีกทั้งการเป็นทนายความต้องใช้ความสามารถ ต้องใช้หลักฐานใช้พยาน แต่อีกฝ่ายใช้วิธีการแถลงข่าว นั่นไม่ใช่วิถีของทนายความ โดยอย่างยิ่งบอกว่าตัวเองเป็นทนายประชาชน ส่วนเงินบริจาคจำนวน 6 ล้านบาท ที่ทางโรงพยาบาลคืนมา อยากให้ติดตามว่าวันพรุ่งนี้จะเอาไปให้ใคร
ตอนนี้มีความพยายามที่จะมาปิดปากตนเอง ทั้งทนายความ พวกหิวแสง นักร้องเรียน ใครฟ้องมาผมก็จะฟ้องกลับ จะสู้ในทางกฎหมาย ผมพร้อมสู้ทุกทางเวลาสู้ก็จะไม่ค่อยเหมือนกัน ฝากไปบอกหมาลอบกัด พร้อมจะกัดตอบ ประกาศ “กูไม่กลัวมึง“