
นายกรัฐมนตรี ย้ำรัฐบาลลุยเชิญชวนนักลงทุนตลอด 6 เดือนที่ผ่านมา ล่าสุดมีมูลค่ามากกว่า 1.13 ล้านล้านบาท สูงสุดในรอบ 10 ปี เผย “โอกาสการลงทุนไร้ขีดจำกัดในประเทศไทย” เดินหน้าสร้างโอกาสในการลงทุนอย่างต่อเนื่องในทุกมิติ
วันนี้ (12 มี.ค. 68) นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาพิเศษเปิดงานเผยแพร่ยุทธศาสตร์และนโยบายส่งเสริมการลงทุน ในหัวข้อ “Ignite Thailand : Invest in Endless Opportunities โอกาสการลงทุนไร้ขีดจำกัดในประเทศไทย” ณ ห้องคริสตัล ฮอลล์ ชั้น 3 โรงแรม ดิ แอทธินี โฮเทล แบงค็อก เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ
โดยมี นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ดร. นลินี ทวีสิน ประธานผู้แทนการค้าไทย นายชัย วัชรงค์ ผู้แทนการค้าไทย นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) และผู้บริหารหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนเข้าร่วม
นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีกล่าวปาฐกถาพิเศษเปิดงานเผยแพร่ยุทธศาสตร์และนโยบายส่งเสริมการลงทุน ในหัวข้อ “Ignite Thailand : Invest in Endless Opportunities โอกาสการลงทุนไร้ขีดจำกัดในประเทศไทย” ตอนหนึ่งว่า สถานการณ์การลงทุนและเศรษฐกิจทั่วโลกในปัจจุบันมีความท้าทายเป็นอย่างมาก การลงทุนใหม่ ๆ เป็นเรื่องที่ท้าทาย ทุกคนที่อยู่ในวงการธุรกิจ ทั้งภาครัฐและเอกชนทราบดีว่าการหาช่องทางให้เกิดการลงทุนใหม่ ๆ ไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนในอดีตที่ผ่านมา ขณะที่เศรษฐกิจของประเทศไทยค่อย ๆ เติบโตขึ้น แต่ยังไม่เพียงพอ รัฐบาลต้องการให้เศรษฐกิจเติบโตแบบก้าวกระโดดมากกว่านี้ โดยพยายามดึงดูดนักลงทุนจากต่างชาติให้เข้ามาลงทุนในประเทศไทยมากขึ้น เพื่อสร้างโอกาสให้กับประเทศ
“ในฐานะผู้นำรัฐบาล ต้องพยายามเปลี่ยนความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกให้เป็นโอกาสของประเทศให้ได้ การที่จะทำเช่นนั้นได้ต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน รัฐบาลมีความมุ่งมั่นอย่างชัดเจนในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนทั่วโลกให้รับรู้ว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่น่าลงทุน เป็นประเทศแห่งโอกาส มีความพร้อมทั้งด้านทรัพยากรและศักยภาพของบุคลากร สิ่งที่สำคัญคือ รัฐบาลต้องสร้างโอกาสในการลงทุนอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้นักลงทุนทั่วโลกเห็นว่าการลงทุนในประเทศไทยมีความมั่นคงและให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า” นายกรัฐมนตรี ระบุ


นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อว่า ปัจจุบันการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของประเทศเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง รัฐบาลกำลังผลักดันโครงการหลายโครงการ เช่น รถไฟความเร็วสูงและรถไฟรางคู่ เพื่อเพิ่มการเชื่อมต่อภาคใต้เข้าสู่ศูนย์กลางทางการค้าและบริการ การอนุมัติการลงทุนในรถไฟฟ้าสายสีม่วงและสายสีม่วงใต้เพื่อเชื่อมกรุงเทพฯ ชั้นนอกกับชั้นใน และรถไฟความเร็วสูงในภาคอีสานระยะที่สอง เพื่อเชื่อมการคมนาคมขนส่งของประเทศไทยในระดับภูมิภาค
การสร้างเส้นทางรถไฟต่าง ๆ เหล่านี้ จะเพิ่มโอกาสทางเศรษฐกิจให้กับประเทศอย่างมาก ทั้งในด้านการขนส่งสินค้าและการท่องเที่ยว นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้เริ่มโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังระยะที่ 3 และขยายการใช้บริการของท่าอากาศยานทั้งในกรุงเทพฯ และภูมิภาค ซึ่งเป็นโครงการที่สำคัญอย่างยิ่งในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจของประเทศไทย
อีกหนึ่งโครงการที่สำคัญคือ โครงการแลนด์บริดจ์ (Land Bridge) ซึ่งจะเชื่อมต่อทะเลอันดามันและอ่าวไทย ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลางการค้าของภูมิภาค โครงการนี้ได้รับความสนใจจากผู้นำของประเทศจีนและประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก หากโครงการนี้สำเร็จจะสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจมากมายให้กับประเทศไทย ทั้งในด้านการท่องเที่ยว การค้า และการสร้างงาน

รัฐบาลตั้งเป้าหมายที่จะให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางด้านโลจิสติกส์และอากาศยานของภูมิภาค เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับการค้าและการลงทุนของประเทศไทยกับประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก โดยพยายามสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนต่างชาติที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศไทย นอกจากการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่แล้ว ก็ยังให้ความสำคัญกับการลงทุนในเทคโนโลยีดิจิทัลและธุรกิจแห่งอนาคต เช่น ดาต้าเซ็นเตอร์ (Data Center) รัฐบาลออกนโยบายเพื่อดึงดูดการลงทุนในดาต้าเซ็นเตอร์ (Data Center) ซึ่งเป็นการลงทุนระยะยาวที่จะแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของประเทศไทย นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาศักยภาพของบุคลากร โดยการให้ทุนการศึกษาแก่นักเรียนนักศึกษาในสาขาเทคโนโลยีดิจิทัล และดึงดูดบุคลากรจากทั่วโลกเข้ามาทำงานในประเทศไทย เพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และพัฒนาศักยภาพของบุคลากรไทย พร้อมทั้งวางแผนที่จะผลิตบุคลากรด้านดิจิทัลเพิ่มขึ้นมากกว่า 80,000 คน
นายกรัฐมนตรีกล่าวอีกว่า รัฐบาลได้ดำเนินการปรับปรุงบรรยากาศการลงทุนให้ง่ายและน่าสนใจยิ่งขึ้น โดยลดขั้นตอนที่ไม่จำเป็นและสร้างระบบบริการแบบเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว สำหรับภาคการผลิตของประเทศไทย ซึ่งเป็นจุดแข็งของประเทศ
อาทิ ภาคเกษตร อาหาร บริการ ท่องเที่ยว และการแพทย์ ได้มีการเตรียมความพร้อม เพื่อยกระดับและพัฒนาอุตสาหกรรมเหล่านี้ โดยใช้การผสมผสานเทคโนโลยีและภูมิปัญญาดั้งเดิมของไทย เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์และบริการของไทย เน้นการสร้างความเชื่อมโยงตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ เพื่อให้ผลิตภัณฑ์ของไทยสามารถเข้าสู่ตลาดโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สำหรับการส่งเสริมการท่องเที่ยว เป็นอีกหนึ่งส่วนที่สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทย รัฐบาลได้ผลักดันการท่องเที่ยวอย่างเข้มข้น โดยมีเป้าหมายที่จะดึงดูดนักท่องเที่ยวให้กลับมาในระดับก่อนเกิดสถานการณ์โควิด-19 และในบางจังหวัดที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวหลัก ตัวเลขนักท่องเที่ยวได้เกินกว่าช่วงก่อนโควิด-19 แล้ว ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีว่าอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยกำลังฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง
ทั้งนี้ รัฐบาลมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการท่องเที่ยวเชิงประสบการณ์ เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสประสบการณ์ที่หลากหลายและน่าจดจำยิ่งขึ้น อาทิ เทศกาลมหาสงกรานต์ที่จะเกิดขึ้นในเดือนเมษายน
เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมสำคัญที่รัฐบาลให้การสนับสนุน ซึ่งจะมีการจัดกิจกรรมตลอดทั้งเดือน เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสกับวัฒนธรรมและประเพณีอันเป็นเอกลักษณ์ของไทยในทุกภูมิภาค

นอกจากนั้น กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จะมีการเผยแพร่แผนที่แหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจทั่วประเทศ เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้มีทางเลือกที่หลากหลาย ไม่จำกัดเฉพาะเมืองท่องเที่ยวหลัก โดยล่าสุด ประเทศไทยได้สร้างสถิติใหม่ในการส่งเสริมการลงทุน มีมูลค่าการลงทุนมากกว่า 1.13 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นมูลค่าที่สูงที่สุดในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา ความสำเร็จนี้เป็นผลมาจากความร่วมมือของทุกภาคส่วน โดยเฉพาะสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ที่ได้ทำงานอย่างหนักในการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ
“การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทยต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน หากเราร่วมมือกันสร้างบรรยากาศการลงทุนที่ดี เราจะสามารถพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนต่อไป” นายกรัฐมนตรี ทิ้งท้าย.

อ่านข่าวเพิ่มเติม
- ตลาดหุ้นไทยวันนี้ 7 มี.ค.68 ผันผวนหนัก แนะ ย่อซื้อ หุ้นเด่น
- นายกอิ๊งค์ รับกำลังพิจารณาแนวคิด คนไทยมีเงิน 50 ล้าน เข้ากาสิโน
- น่าห่วง GDP ไทย ทั้งปีขยายตัว 2.5% รั้งท้ายเพื่อนบ้าน