เปิดโปง ‘โรงเรียนสอนโจร’ ในอินเดีย ฝีกทักษะฉก-ชิง-ปล้น ให้เด็ก 12 ขวบ

หมู่บ้าน 3 แห่งที่ว่านี้มื่อว่า Kadia, Gulkhedi และ Hulkhedi ทั้งหมดตั้งอยู่ห่างจากเมืองหลวงของรัฐโภปาลประมาณ 120 กิโลเมตร โดยพื้นที่เหล่านี้ถือเป็นแหล่งบ่มเพาะอาชญากรวัยเยาว์ชั้นดี ซึ่งบรรดาพ่อแม่ต่างยอมจ่าย 200,000 – 300,000 รูปี หรือประมาณ 80,000 – 120,000 บาทเป็นค่าเล่าเรียน เพื่อให้ลูกหลานของพวกเขาได้รับการฝึกฝนใน “ศาสตร์มืด” ไม่ว่าจะเป็นการล้วงกระเป๋าและฉกกระเป๋าในสถานที่แออัด การปล้น การขโมยบัญชีธนาคาร การหลบหนีตำรวจ และแม้กระทั่งการทนต่อการถูกทำร้ายร่างกายในกรณีที่ถูกจับกุม

‘โรงเรียนสอนโจร’ ได้ผลิตอาชญากรที่ฉาวโฉ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของอินเดีย ดังนั้นพวกเขาจึงเป็นที่ต้องการของครอบครัวที่ยากจน เหตุเพราะพวกเขาจะไม่สามารถให้การศึกษาที่เหมาะสมแก่ลูก ๆ ของพวกเขาได้ การส่งเข้าเรียนในสถาบันแห่งนี้จึงเป็นหนทางสู่การมีอาชีพในอนาคต

หลังจากพบปะกับหัวหน้าแก๊งและจ่ายค่าเล่าเรียนเรียบร้อย เด็ก ๆ เหล่านี้จะใช้เวลาศึกษาในโรงเรียนอาชญากรรมเป็นเวลา 1 ปีเพื่อเรียนรู้ทักษะต่าง ๆ และเตรียมพร้อมสำหรับชีวิตอาชญากรรม หลังจากสำเร็จการศึกษาและเข้าร่วมแก๊ง ครอบครัวของนักเรียนจะได้รับเงิน 300,000 รูปี – 500,000 รูปี หรือราว ๆ 120,000 – 200,000 บาทต่อปี จากหัวหน้าแก๊งเพื่อเป็นค่าจ่างของพวกเขา

วิธีการของโรงเรียนสอนโจรแห่งนี้เป็นการเด็ก ๆ จะได้รับการฝึกอบรมให้กลมกลืนกับครอบครัวที่ร่ำรวย เพื่อให้ง่ายต่อการก่อเหตุ พวกเขามักจะทำทีเข้าไปในงานพิเศษต่าง ๆ เช่น งานแต่งงาน จากนั้นก็จะล้วงกระเป๋าแขก ขโมยเครื่องประดับ หรือแม้แต่ก่อเหตุปล้นครั้งใหญ่

การปั้นอาชญากรได้กลายเป็นวัฒนธรรมที่ฝังรากลึกลงในหมู่บ้านห่างไกลเหล่านี้ และแม้ว่าตำรวจจะทราบเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นที่นี่ แต่พวกเขากลับไม่สามารถยับยั้งได้ เพราะผู้คนในชุมชนจะคอยปกป้องแก๊งเหล่านี้อยู่เสมอ พวกเขามักสงสัยคนแปลกหน้าและมีความกล้าที่จะเผชิญหน้ากับเจ้าหน้าที่ตำรวจ หากคนในหมู่บ้านของพวกเขากำลังถูกเจ้าหน้าที่จับกุม

“เมื่อเราต้องไปที่หมู่บ้านเหล่านี้ เราจะนำกำลังจากสถานีตำรวจหลายแห่งไปด้วยเพื่อจับกุมผู้ต้องหา อาชญากรเหล่านี้ได้รับการฝึกฝนอย่างสูงในการฉกกระเป๋า การโจรกรรมธนาคาร และอาชญากรรมอื่น ๆ โดยมักจะใช้ผู้เยาว์อายุต่ำกว่า 17 ปีในการก่อเหตุ การโจรกรรมส่วนใหญ่ดำเนินการโดยผู้เยาว์ อันทำให้การต่อสู้กับวัฒนธรรมอาชญากรรมที่ฝังรากลึกนี้เป็นเรื่องที่ท้าทายยิ่งขึ้น” ผู้ตรวจการสถานีตำรวจแห่งหนึ่งให้สัมภาษณ์กับสื่อท้องถิ่นไว้เช่นนั้น

ทั้งนี้ ตามบันทึกของตำรวจ ระบุว่า ผู้คนกว่า 2,000 คนจากสามหมู่บ้านนี้มีคดีที่ถูกแจ้งไว้ยังสถานีตำรวจทั่วประเทศมากกว่า 8,000 คดี