ศาลมีมติ 8 ต่อ 1 ชี้ พ.ร.ก.เลื่อนบังคับใช้ กม.อุ้มหาย ไม่เป็นไปตาม รธน.
ศาลมีมติ 8 ต่อ 1 ชี้ พ.ร.ก.เลื่อนบังคับใช้ กม.อุ้มหาย ไม่เป็นไปตาม รธน. ให้ถือว่าไม่มีผลบังคับใช้มาตั้งแต่ต้น
ศาลรัฐธรรมนูญ ประชุมปรึกษาคดี เรื่องพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 พ.ศ. 2566 กรณีเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 172 วรรคหนึ่ง หรือไม่ ที่มีส.ส. จำนวน 99 คน ซึ่งเป็นจำนวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 5 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร เข้าชื่อเสนอความเห็นต่อประธานสภา (ผู้ร้อง) ว่า พ.ร.ก.แก้ไขเพิ่มเติมพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหายพ.ศ.2565 พ.ศ. 2566 ตราขึ้นเพื่อขยายกำหนดเวลาการมีผลใช้บังคับของพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและกรกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 มาตรา 22 มาตรา 23มาตรา 24 และมาตรา 25
จากเดิมที่ให้ใช้บังคับเมื่อพันกำหนด 120 วันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป คือ วันที่ 22 ก.พ. 2566 แก้ไขเป็น ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2566 เป็นต้นไป
โดยอ้างเหตุผลความไม่พร้อมด้านงบประมาณ การจัดหาเครื่องมือและอุปกรณ์ และขั้นตอนการปฏิบัติงาน ในการบังคับใช้พระราชบัญญัติดังกล่าว ซึ่งไม่ได้เป็นไปตามเงื่อนไขของรัฐธรรมนูญ มาตรา 172 วรรคหนึ่ง ผู้ร้องจึงส่งความเห็นดังกล่าวเพื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 173 วรรคหนึ่ง
ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเสียงข้างมาก 8 ต่อ 1 ซึ่งมีคะแนนเสียงไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 ของจำนวนตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 173 วรรคสี่ วินิจฉัยว่า พ.ร.ก.แก้ไขเพิ่มเติมพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ.2565 พ.ศ. 2566
กรณีไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 17 วรรคหนึ่ง และให้พ.ร.ก.แก้ไขเพิ่มเติมพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามกรทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 พ.ศ. 2566 ไม่มีผลใช้บังคับมาแต่ต้นวันที่ 22 ก.พ. 66 ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 173 วรรคสาม