กรมการแพทย์ ประกาศเตือน ย้อมผมปิดหงอก-ผมขาว หรือทำสีผมบ่อยๆ ส่งผลเสียต่อตับ และไต เพราะอันตรายของสารเคมีที่ผสมอยู่ในน้ำยาย้อมผมเคมี หรือ Permanent hair dye
นพ.ไพโรจน์ สุรัตนวนิช รองอธิบดีกรมการแพทย์ ได้ออกมากล่าวถึงความอันตรายที่เกิดจากการใช้ผลิตภัณฑ์ปิดผมขาวของคนในสังคมปัจจุบัน ซึ่งหากมีการย้อมสีผม-ปิดผมหงอก บ่อยๆ ก็จะทำให้เกิดระคายเคืองต่อผิวหนังบริเวณหนังศีรษะ และอาจก่อให้เกิดการแพ้รุนแรงได้
โดยการแพ้นั้นสำหรับบางรายอาจจะเป็นแค่ผื่นเล็กน้อยตรงบริเวณที่สัมผัสกับสารเคมี หรือหากคนที่มีอาการแพ้ขั้นรุนแรงก็จะเกิดผื่นบวมคัน มีน้ำเหลืองซึมออกมา รวมถึงหน้าบวม ตาบวม ต่อมน้ำเหลืองบริเวณหนังศีรษะ และคอบวม และอาจมีไข้ร่วมด้วยในบางเคส
ทั้งนี้ทางด้าน พญ.นันท์นภัส โปวอนุสรณ์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคผิวหนัง สถาบันโรคผิวหนัง ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมระบุ น้ำยาเคมีสำหรับย้อมผม หรือ Permanent hair dye นั้นมีส่วนประกอบหลักๆ ดังนี้
- Developer คือ สารที่ใช้สำหรับการล้างสีผมเดิม ส่วนประกอบหลัก คือ hydrogen peroxide ทำหน้าที่กัดสีผมเดิมออก เพื่อให้ได้สีผมใหม่ที่สว่าง และสม่ำเสมอขึ้น เนื่องจาก hydrogen peroxide มีความเป็นด่างสูง จึงส่งผลให้เส้นผมสีความแห้งเสีย และทำให้หนังศีรษะเกิดความระคายเคือง
- Alkaline agent คือ สารที่มีความสามารถในการทำลายโปรตีนที่อยู่ในเส้นผม ทำให้เกล็ดผมเปิดออก เสมือนเป็นการเปิดทางให้สีย้อมผมเข้าไปถึงแกนของเส้นผมได้ง่ายขึ้น โดยมี แอมโมเนีย ส่วนประกอบหลัก และเมื่อเส้นสัมผัสกับแอมโมเนียบ่อยๆ ครั้งเข้า ก็จะทำให้ผมขาดหลุดร่วงได้ง่ายขึ้น
- Color หรือ สีย้อม โดยทั่วไปจะใช้ PPD (para-phenylenediamine) และ PTDS (para-toluenediamine sulfate) ซึ่งเป็นสารย้อมทางเลือก สีย้อมที่ยิ่งมีโทนเข้ม ไปจนถึงดำยิ่งมีสารย้อมที่เข้มข้นกว่าสีอ่อน
- และยังมีส่วนประกอบอื่นๆ ซึ่งจะขึ้นอยู่กับทางแบรนด์จะเลือกใช้อะไรเพิ่มเติมเข้าไปในตัวผลิตภัณฑ์ เพื่อเป็นจุดขายที่แตกต่างจากคู่แข่ง เช่น สารสกัดจากธรรมชาติต่าง, น้ำหอม หรือสารที่ช่วยป้องกันผมเสียจากการทำเคมี เป็นต้น
และจากข้อมูลของผู้ป่วยที่มีประวัติในการสัมผัสกับสารเคมีในสีย้อมผมอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานๆ ผู้ป่วยรายนั้นๆ จะมีค่าเอนไซม์ตับที่เพิ่มสูงขึ้น และมีภาวะไตเสื่อม จากการสัมผัสสีย้อมผม
ข้อแนะนำสำหรับผู้ที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการสัมผัสสารย้อมผม หรือผู้ที่จำเป็นต้องทำสีผม-ย้อมปิดผมหงอก ควรเว้นระยะห่างในการทำแต่ละครั้งให้มากที่สุด เพื่อลดการสัมผัสกับสารเคมีที่ก่อนให้เกิดอันตรายแก่ร่างกาย
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
- “หมอยง” เตือน โรคอุจจาระร่วงโนโรไวรัส ระบาดหนัก มกราคม-มีนาคม
- หมอเบ็นซ์พาส่อง รีวิวอาหารไทยสุดฮา มีครบทุกภาค แซ่บถูกใจ อนามัยถูกลืม
- อายุมากขึ้น เผชิญปัญหาผิวมากขึ้น! รวมวิธีเสริมให้ผิวยังดูอ่อนเยาว์ เรียบเนียนอย่างเป็นธรรมชาติ
อ้างอิงจาก : กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข
