
ชัวร์แล้ว ร้านค้าคนละครึ่งพลัส 2568 ต้องเสียภาษี ถ้าถึงเกณฑ์รายได้ แนะวิธี จ่ายน้อย จ่ายตามจริง ไม่โดนภาษีเหมา ไม่โดนย้อนหลัง
จากกรณีความกังวลของร้านค้า ร้านอาหารรรายย่อย ไม่กล้าเข้าร่วมโครงการ สมัคร “คนละครึ่งพลัส” เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ เหตุกังวลว่ารัฐบาลจะส่งข้อมูลรายได้ให้กรมสรรพากร ต้องเสียภาษีจำนวนมาก รวมถึงบางรายกังวลโดนภาษีย้อนหลัง เนื่องจากไม่เคยยื่นแบบภาษีรายได้เลย
แม้ว่าก่อนหน้านี้ นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ยืนยันว่า พ่อค้าแม่ค้าไม่ต้องกังวล เพราะรัฐบาลจะไม่ส่งข้อมูลรายได้ให้กรมสรรพากร
แต่ในทางปฏิบัติจริงนั้น เมื่อมีรายได้เข้ามา เงินสดจะถูกโอนผ่านแอปถุงเงินเข้าไปบัญชีธนาคารของผู้ประกอบการ เท่ากับว่ามีรายได้ หากกรมสรรพากรจะขอเรียกดูที่มาของรายได้ก็ย่อมทำได้
ล่าสุดกรมสรรพากรได้ออกมาชี้แจงแนวทางอย่างเป็นทางการแล้ว ยืนยันว่า รายได้ที่ร้านค้าได้รับผ่านแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” จากคนละครึ่งพลัส ถือเป็นรายได้จากการประกอบกิจการทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นส่วนที่ลูกค้าจ่ายเอง หรือส่วนที่รัฐบาลสนับสนุนให้ ร้านค้าจะต้องนำรายได้ส่วนนี้มารวมกับรายได้อื่นๆ เพื่อคำนวณและยื่นภาษีประจำปีตามปกติ
รายได้คนละครึ่งพลัสเท่าไรถึงต้องยื่นภาษี?
- บุคคลธรรมดา: หากมีรายได้ทั้งปีเกิน 120,000 บาท (กรณีโสด) หรือ 220,000 บาท (กรณีมีคู่สมรส) ต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด.90) ภายในเดือนมีนาคมของปี 2569 แม้ว่ากรมสรรพากรจะไม่ได้ร้องขอมาก่อนก็ตาม เพื่อแสดงความบริสุทธิใจ
- ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT): หากร้านค้ามีรายได้จากการขายสินค้าหรือบริการเกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี จะต้องจดทะเบียนเป็นผู้ประกอบการภาษีมูลค่าเพิ่ม การทำบัญชี การยื่นก็จะแตกต่างจากภาษีบุคคลธรรมดา
ร้านค้ายื่นภาษีแบบไหน คำนวณอย่างไร?
สำหรับร้านค้าขนาดเล็ก สามารถเลือกคำนวณภาษีด้วย “วิธีหักค่าใช้จ่ายแบบเหมา” ซึ่งเป็นวิธีที่ง่าย ไม่ต้องเก็บเอกสารหลักฐานค่าใช้จ่าย โดยมีอัตราหักเหมาตามประเภทกิจการ เช่น
- ประเภทขายสินค้า: หักค่าใช้จ่ายแบบเหมาได้ 80% ของรายได้
- ประเภทให้บริการ: หักค่าใช้จ่ายแบบเหมาได้ 50% ของรายได้
ทั้งนี้ ร้านค้าสามารถใช้ข้อมูลยอดขายจากแอป “ถุงเงิน” เป็นหลักฐานในการยื่นภาษีได้โดยตรง ไม่จำเป็นต้องเก็บเอกสารเพิ่มเติม
อย่างไรก็ดี วิธีแบบเหมาะจ่ายมีข้อเสียมากกว่า เนื่องจากไม่ได้คำนวณตามรายได้หักต้นทุนจริง เท่ากับว่าหากคุณมีรายได้เยอะ ก็ต้องเสียภาษีเยอะ ซึ่งในความเป็นจริง ร้านค้าอาจมีต้นทุนสูงมาก รายได้หลังหักอาจเสียน้อยกว่าราคาเหมา
ไทยเกอร์ขอแนะนำว่าร้านค้าให้เก็บหลักฐานต้นทุนไว้ทั้งหมด รวบรวมใบเสร็จ/บิลซื้อของ เก็บใบเสร็จรับเงิน ใบกำกับภาษี หรือหลักฐานการซื้อวัตถุดิบ สินค้า ค่าเช่า ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าแรงลูกจ้าง หรือค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการประกอบกิจการทั้งหมดอย่างเป็นระบบ จัดเรียงเอกสารตามวันที่หรือประเภทค่าใช้จ่าย เพื่อให้ง่ายต่อการค้นหาเมื่อถึงเวลายื่นภาษี จะได้จ่ายเงินตามจริง
ด้าน ผศ.ดร.ยุทธนา ศรีสวัสดิ์ ผู้ก่อตั้งแพลตฟอร์มให้ความรู้ด้านภาษี “iTAX” ได้ออกมาย้ำว่า “การที่รัฐบาลไม่ส่งข้อมูล ไม่ได้หมายความว่าร้านค้าไม่ต้องเสียภาษี” แต่หมายถึงกรมสรรพากรจะไม่ใช้ข้อมูลจากโครงการนี้เป็นตัวพิจารณาในการตรวจสอบเท่านั้นเอง
แล้วสรรพากรมีวิธีตรวจสอบยังไง
ดร.ยุทธนา อธิบายว่า หากบัญชีใดมีเงินเข้า 3,000 ครั้งต่อปี หรือเกิน 400 ครั้งและมียอดรวมตั้งแต่ 2 ล้านบาทขึ้นไป ธนาคารจะส่งข้อมูลให้กรมสรรพากรโดยอัตโนมัติ ร้านค้าที่อยู่ในแพลตฟอร์มเดลิเวอรี่ กรมสรรพากรสามารถเข้าถึงข้อมูลยอดขายของร้านค้าจากแพลตฟอร์มอย่าง LINE MAN หรือ GRAB ได้โดยตรง หรือใช้วิธีแบบมีมาแต่ดั้งเดิม เจ้าหน้าที่ลงพื้นที่สำรวจร้านค้าหน้าร้านจริง
สรุปไทม์ไลน์โครงการคนละครึ่งพลัส
- ร้านค้าลงทะเบียน: 15 ต.ค. – 19 ธ.ค. 68
- ประชาชนลงทะเบียน: 20 ต.ค. – 26 ต.ค. 68
- เริ่มใช้สิทธิ: 29 ต.ค. – 31 ธ.ค. 68
ลงทะเบียนร้านค้า ผ่านเว็บไซต์ www.คนละครึ่งพลัส.com
สำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ศูนย์ข้อมูลสรรพากร โทร. 1161 หรือที่เว็บไซต์กรมสรรพากร
วิธีสมัครร้านค้า “คนละครึ่งพลัส” เริ่ม 15 ต.ค. เช็กเงื่อนไข-เอกสารที่ต้องใช้
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
- ร้านค้าใหม่ สมัคร “คนละครึ่งพลัส” ทำอย่างไร? เปิดทุกขั้นตอนที่นี่
- เสียงสะท้อนร้านค้า ไม่ขอสมัคร “คนละครึ่งพลัส” เพราะไม่อยากเสียภาษี
- ลงทะเบียนคนละครึ่ง เงื่อนไข 3 กลุ่ม บัตรคนจน-คนทั่วไป-คนยื่นภาษี ได้ไม่เท่ากัน
ติดตาม The Thaiger บน Google News: