ข่าวต่างประเทศ

ธุรกิจญี่ปุ่นอ่วม พิษปิดชายแดน ไทย-เขมร ต้นทุนขนส่งพุ่ง SME เสี่ยงถอนการลงทุน

ผลพวงจากการปิดพรมแดนไทย-กัมพูชา ส่งผลกระทบหนักต่อบริษัทญี่ปุ่น ต้นทุนขนส่งพุ่ง 2-3 เท่า ขณะที่ SME เสี่ยงต้องถอนการลงทุน

สถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาที่คงยืดเยื้อจนถึงปัจจุบันนั้น ได้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อบริษัทญี่ปุ่นจำนวนมากที่ใช้โมเดลการผลิตแบบ “ไทยแลนด์พลัสวัน” โดยผู้บริหารระดับสูงชี้ว่าต้นทุนด้านโลจิสติกส์พุ่งสูงขึ้นถึง 2-3 เท่า และมีความเสี่ยงที่ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) อาจต้องถอนการลงทุนออกจากกัมพูชา

“ตอนปะทะกันปลายเดือนกรกฎาคม เสียงปืนใหญ่ดังมาถึงโรงงานเลยครับ” นายฮิโรชิกะ ซูซูกิ ผู้บริหารสูงสุดของบริษัท ยาซากิ คอร์ปอเรชั่น ประจำประเทศไทยและกัมพูชา กล่าวถึงสถานการณ์ที่โรงงานในเขตเศรษฐกิจพิเศษจังหวัดเกาะกง ซึ่งอยู่ห่างจากชายแดนไทยเพียง 3 กิโลเมตร และต้องเผชิญกับความเสี่ยงนับตั้งแต่การปิดพรมแดนเมื่อปลายเดือนมิถุนายน

ผลกระทบโดยตรงต่อโมเดล “ไทยแลนด์พลัสวัน”

โมเดลธุรกิจ “ไทยแลนด์พลัสวัน” เป็นกลยุทธ์ที่บริษัทญี่ปุ่นในไทยใช้เพื่อรับมือกับปัญหาค่าแรงสูง โดยการย้ายฐานการผลิตบางส่วนที่ใช้แรงงานอย่างเข้มข้นไปยังประเทศเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชา แล้วจึงส่งชิ้นส่วนกลับมายังไทยเพื่อประกอบขั้นสุดท้าย แต่การปิดพรมแดนได้ตัดขาดระบบนี้อย่างสิ้นเชิง

นายซูซูกิอธิบายว่า บริษัท ยาซากิ ซึ่งผลิตชุดสายไฟในรถยนต์ จำเป็นต้องเปลี่ยนเส้นทางการขนส่งชิ้นส่วนจากเดิมทางบกที่ใช้เวลาเพียง 2 วัน ไปเป็นการขนส่งทางทะเลผ่านท่าเรือสีหนุวิลล์ ซึ่งใช้เวลายาวนานถึง 10 วัน “โรงงานที่เกาะกงอยู่ใกล้ไทยแค่ปลายจมูก แต่เรากลับถูกบังคับให้อ้อมไปไกลมาก” นายซูซูกิกล่าว พร้อมเสริมว่าบริษัทจำเป็นต้องเริ่มผลิตสินค้าชนิดเดียวกันในโรงงานที่ไทยเพื่อป้องกันปัญหาขาดแคลน

ห้างสรรพสินค้า ในกัมพูชา
ภาพจาก: Business Nikkei

ต้นทุนพุ่ง 2-3 เท่า-SME เสี่ยงถอนตัว

นายโก เอบิซึ ประธานบริษัทโลจิสติกส์ในกัมพูชา ชี้ว่า โดยทั่วไปแล้วต้นทุนโลจิสติกส์ของผู้ประกอบการญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น 2-3 เท่า และกระแสเงินสดของบริษัทยังแย่ลงจากการต้องสต็อกสินค้าเพิ่มขึ้นเพื่อรองรับระยะเวลาการขนส่งที่นานขึ้น เขาคาดการณ์ว่าสถานการณ์เช่นนี้จะบีบให้ผู้ประกอบการ SME ที่มีเงินทุนหมุนเวียนไม่เพียงพออาจต้องตัดสินใจถอนตัวออกจากกัมพูชาในที่สุด

การทูตล้มเหลว โซเชียลถล่มสถานทูตญี่ปุ่น

สถานการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้รัฐบาลญี่ปุ่นต้องเข้ามามีบทบาท โดย นายอุเอโนะ อัตสึชิ เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำกัมพูชา ได้เข้าพบรองนายกรัฐมนตรี ซุน จันทอล และแสดงความกังวลว่า “หากการปิดพรมแดนยังดำเนินต่อไป กัมพูชาอาจสูญเสียเสน่ห์ในฐานะแหล่งลงทุน”

อย่างไรก็ตาม ท่าทีของญี่ปุ่นกลับไม่ได้รับการตอบสนองที่ดีนัก ท่ามกลางกระแสชาตินิยมที่ร้อนแรงในทั้งสองประเทศ โดยหลังจากที่รัฐมนตรีกลาโหมกัมพูชากล่าวถึงคำร้องขอของญี่ปุ่น เฟซบุ๊กของสถานทูตญี่ปุ่นทั้งในกรุงเทพฯ และพนมเปญ ก็ถูกชาวเน็ตของทั้งสองฝั่งเข้าไปถล่มด้วยความคิดเห็นที่กล่าวหาว่าแทรกแซงกิจการภายใน และเพิกเฉยต่อความปลอดภัยของประชาชน จนลามไปถึงการเรียกร้องให้บอยคอตสินค้าและธุรกิจของญี่ปุ่นในกัมพูชา

ที่มา: Business Nikkei

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

ติดตาม The Thaiger บน Google News:

Suriyen J.

นักเขียนบทความข่าว จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ สาขาปรัชญาและศาสนา มีประสบการณ์กับสำนักข่าวระดับประเทศ ชื่นชอบด้านสังคม การเมือง ต่างประเทศ ทำให้สามารถสร้างคุณค่าผ่านงานเขียน เพื่อให้ผู้อ่านได้ประโยชน์ครบทุกมิติ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to top button