ย้อนไทม์ไลน์การต่อสู้คดี เบนซ์ เรซซิ่ง อดีตสามีดาราสาว แพท ณปภา หลังศาลฎีกา ยกฟ้องข้อหาสมคบค้ายาเสพติด ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงวันยกฟ้อง
การต่อสู้อันแสนยาวนานได้จบลงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังจากเมื่อวันอังคารที่ 24 ตุลาคม 2566 ศาลฎีกานัดอ่านคำพิพากษา คดีสมคบค้ายาเสพติดของ นายอัครกิตติ์ วรโรจน์เจริญเดช หรือ เบนซ์ เรซซิ่ง อายุ 36 ปี อดีตสามีแพท ณปภา ตันตระกูล นักแสดงและพิธีกรสาวชื่อดัง รวมถึงจำเลยอีก 2 คน ศาลมีคำสั่งยกฟ้อง ส่วนคดีฟอกเงินเหลือเวลาจำคุก 3 ปี 4 เดือน ซึ่งนายเบนซ์ อยู่ในเรือนจำครบจำนวนวันแล้ว จึงให้ปล่อยตัววันนี้ เวลา 18.00 น.
เพื่อเป็นการทบทวนคดีดังกล่าว จึงจะพาทุกคนมาเปิดไทม์ไลน์ เบนซ์ เรซซิ่ง กับการสู้คดีข้อหาร่วมกันฟอกเงินและสมคบค้ายาเสพติด อันแสนยาวนานถึง 6 ปี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2560 – พ.ศ. 2566 ตั้งแต่จุดเริ่มต้นที่เป็นผู้ต้องสงสัยจวบจนถึงวันที่ศาลสั่งยกฟ้องและปล่อยตัวให้กลับบ้านได้
ย้อนรอยเส้นทางคดีของ เบนซ์ เรซซิ่ง
เรื่องราวของคดีความเริ่มต้นขึ้นเมื่อ วันที่ 19 มกราคม 2560 หลังจากที่ตำรวจกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด ได้เข้าจับกุม นายไซซะนะ แก้วพิมพา ชาวลาว อายุ 42 ปี ราชายาเสพติดรายใหญ่ที่สนามบินสุวรรณภูมิ ก่อนที่จะขยายผลจับกุม บอย นาคคำ ซึ่งได้ให้การซัดทอดว่า ได้นำทรัพย์สินที่กระทำผิดไปไว้ที่ นายอัครกิตติ์ วรโรจน์เจริญเดช หรือ เบนซ์ เรซซิ่ง นักแข่งรถจักรยานยนต์ และเป็นสามีของ นักแสดงสาว แพท ณปภา ในขณะนั้น
ต่อมาในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2560 ตำรวจได้เข้าปิดล้อมตรวจค้นเครือข่ายยาเสพติดนายไซซะนะ รวม 40 จุด ทั้งใน กทม. และต่างจังหวัด พร้อมเข้าค้นที่พัก เบนซ์ เรซซิ่ง แต่ไม่พบตัว รวมถึงตรวจค้นร้านแอเรีย 51 ร้านแต่งรถบิ๊กไบค์ของเบนซ์ ที่อยู่บริเวณชั้นล่างของอาคาร พร้อมยึดรถลัมโบร์กีนี หมายเลขทะเบียน กจ 51 กรุงเทพมหานคร มูลค่ากว่า 20 ล้านบาท รวมถึงรถบิ๊กไบค์เคทีเอ็ม, รถบิ๊กไบค์บีเอ็มดับเบิลยู และ อาวุธปืน 2 กระบอก เพื่อนำไปตรวจสอบ
จากนั้นในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2560 เบนซ์ เรซซิ่ง พร้อมด้วยคุณแม่ และทนายความ ได้เข้าให้ปากคำแก่เจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อชี้แจงที่มาของทรัพย์สิน ยอมรับว่ารู้จักกับ บอย นาคคำ เพราะชื่นชอบในการแต่งบิ๊กไบค์เหมือนกัน แต่ไม่ทราบเบื้องหลังของเจ้าตัวว่าทำธุรกิจอะไร แต่สามารถให้ยืมเงิน 6 ล้านบาทเพื่อให้ตนมาซื้อลัมโบร์กีนีได้ ตำรวจได้ตั้งข้อสังเกตว่ามีการยืนเงินกันจริงไหม มีการชดใช้เงินกันแบบใด
นายไผ่ ลิกค์ หรือ ไผ่ วันพอยท์ พร้อมเพื่อน เข้าให้ปากคำแก่ตำรวจ บช.ปส. เพื่อชี้แจงเรื่องที่เบนซ์ เรซซิ่งและ บอย นาคคำ ได้มาปรึกษาตนเพื่อซื้อรถลัมโบร์กีนี โดยแจ้งว่าตนไม่รู้จักทั้งคู่เป็นการส่วนตัวในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2560
วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2560 นายณัฐพล ห่วงมณี หรือ เอก บูโน่ เจ้าของเต้นท์รถ บูโน่ ออโต้ คลินิก เข้าให้ปากคำตำรวจ บช.ปส. เรื่องซื้อขายรถลัมโบร์กีนีให้ เบนซ์ เรซซิ่ง
ทั้งนี้ เอกยืนยัน เป็นการซื้อขายรถมือสองอย่างถูกกฎหมาย ด้าน ป.ป.ส. จึงสั่งยึดทรัพย์สินชั่วคราวของ บอย นาคคำ และ เบนซ์ เรซซิ่ง รวม 12 รายการ รวมถึง รถลัมโบร์กีนี สีเทาดำ, รถโตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์, รถบิ๊กไบค์บีเอ็มดับเบิลยู และเคทีเอ็ม
ถัดมาอีกหนึ่งสัปดาห์ ในวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2560 เบนซ์ เรซซิ่ง เข้าให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่ บช.ปส. ครั้งที่ 2 พร้อมหลักฐานการกู้เงิน และแหล่งที่มารายได้ มามอบให้พนักงานสอบสวน
ในส่วนของกระบวนการยุติธรรมก็ได้ดำเนินไปจนถึงวันที่ 3 มีนาคม 2560 เมื่อ บช.ปส. ออกหมายเรียก เบนซ์ เรซซิ่ง เข้ารับทราบข้อกล่าวหา ร่วมกันกระทำผิดฐานสมคบกันกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติด และฟอกเงิน
วันที่ 6 มีนาคม 2560 เบนซ์ เรซซิ่ง เข้าพบ พล.ต.ท.สมหมาย กองวิสัยสุข ผู้บัญชาการ ปส. เพื่อรับทราบข้อกล่าวหา ก่อนควบคุมตัวฝากขังต่อศาลอาญา โดยเบนซ์ได้ยื่นหลักทรัพย์วงเงิน 500,000 บาท เพื่อขอประกันตัว
วันที่ 7 มีนาคม 2560 ผลการตรวจสอบบัญชีธนาคารของ เบนซ์ เรซซิ่ง พบว่า มีการทำธุรกรรมทางการเงินหมุนเวียนไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท ซึ่งเบนซ์ไม่สามารถชี้แจงที่ไปที่มาของเงินเหล่านี้ได้
ศาลสั่งจำคุก เบนซ์ เรซซิ่ง
7 กันยายน 2561 ศาลอาญา มีคำพิพากษา จำคุก เบนซ์ เรซซิ่ง เป็นเวลา 8 ปี ข้อหาร่วมกันฟอกเงิน (คดีเครือข่ายไซซานะ นักค้ายาเสพติด) และให้ยกฟ้องข้อหาสนับสนุน หรือช่วยเหลือ หรือสบคบกันค้ายาเสพติด ตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ และ พ.ร.บ.มาตรการในการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด
เบนซ์ได้ขอยื่นสู้คดีในชั้นอุทธรณ์ พร้อมวางหลักทรัพย์ขอประกันตัวระหว่างต่อสู้คดีวงเงิน 1 ล้านบาท ซึ่งศาลอนุมัติให้ประกันตัว แต่ต้องสวมกำไลอีเอ็มติดตัวไว้ด้วย
ช่วงปลายปี 2562 ศาลได้อนุญาตให้ปลดกำไลอีเอ็มได้ แต่ต้องรายงานตัวทุก 2 เดือนแทน ต่อมาในวันที่ 24 มิถุนายน 2563 เป็นกำหนดนัดรายงานตัวต่อศาล แต่ เบนซ์ เรซซิ่ง ไม่ได้มารายงานตัวตามนัด โดยอ้างว่า จำวันผิด เป็นวันที่ 25 มิถุนายน 2563
จากนั้นในวันที่ 25 มิถุนายน 2563 ในช่วงรุ่งสาง เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ทุ่งสองห้อง ได้เข้าจับกุมกลุ่มรถจักรยานยนต์ที่มี เบนซ์ เรซซิ่ง อยู่ในกลุ่มดังกล่าวด้วย ขณะขับขี่รถบริเวณโรงแรมรามาการ์เด้น ในช่องทางด่วนวิภาวดี-รังสิต โดยได้แจ้งข้อหา กระทำผิด พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และ ผิด พ.ร.บ.จราจร
วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2564 ศาลนัดฟังคำพิพากษา เบนซ์ เรซซิ่ง พร้อมจำเลยที่ 2 และ 3 ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยทั้งสามมีความผิด พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ และ พ.ร.บ.การฟอกเงิน การกระทำของเบนซ์นั้น เป็นความผิดหลายกรรมต่างกรรม ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิด
ฐานสนับสนุนและช่วยเหลือผู้กระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ก่อนหรือขณะกระทำความผิดลงโทษจำคุกตลอดชีวิต และปรับเงิน 5 ล้านบาท ฐานสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป
เพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงิน เพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกันจำคุก 5 ปี ทางนำสืบของจำเลยที่ 1 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้กระทงละหนึ่งในสาม คงรวมจำคุก มีกำหนด 36 ปี 8 เดือน และปรับ 3.33 ล้านบาท จำเลยขอฎีกา
วันที่ 24 ตุลาคม 2566 ศาลนัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา ที่พนักงานอัยการคดียาเสพติด 10 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายอัครกิตติ์ วรโรจน์เจริญเดช หรือ เบนซ์ เรซซิ่ง อายุ 36 ปี พร้อมจำเลยอีก 2 คน ฐานความผิดร่วมกันสนับสนุน หรือช่วยเหลือหรือสมคบกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป
เพื่อกระทำความผิดเกี่ยบกับยาเสพติดฯ ฐานร่วมกันฟอกเงิน ตาม พ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด และพ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน
ซึ่งคดีนี้ จำเลยยื่นอุทธรณ์ เเต่ศาลอุทธรณ์พิเคราะห์พยานหลักฐาน พิพากษาแก้ให้เพิ่มโทษ นายอัครกิตติ์ จำเลยที่ 1 มีความผิดฐานสนับสนุนช่วยเหลือ หรือสมคบค้ายาเสพติด และฐานฟอกเงิน จำคุกรวม 36 ปี 8 เดือน ปรับ 3.33 ล้านบาท จำเลยที่ 2-3 เหลือจำคุก คนละ 22 ปี 6 เดือน ปรับคนละ 4 แสนบาท
ศาลฎีกามีคำสั่งยกฟ้อง เบนซ์ เรซซิ่ง ข้อหาสมคบค้ายาเสพติด เนื่องจากพยานหลักฐานไม่เพียงพอ ส่วนความผิดฟอกเงิน ในชั้นอุทธรณ์ เหลือจำคุกครบ 3 ปี 4 เดือน
อย่างไรก็ตาม นายเบนซ์ อยู่ในเรือนจำครบจำนวนวันแล้ว จึงให้ปล่อยตัวออกจากเรือนจำ วันนี้ (24 ตุลาคม 2566) เวลา 18.00 น.
